เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนผมได้รับการติดต่อจากชาวต่างชาติเพราะรีวิว Beastgrip Pro ของผมไปเข้าตาเค้า เล่นเอาผมงงไปพักใหญ่ คุยไปคุยมาสรุปได้ว่าเค้าคือทีมพัฒนาแอพ Filmakr ซึ่งเป็นเพื่อนๆ กับ Beastgrip Pro และเค้าก็บอกว่าอยากให้ลองใช้แอพนี้ซึ่งผมคิดว่ามันมีดีพอที่จะนำมาบอกต่อครับ
Filmakr เป็นแอพแบบ universal ก็คือซื้อครั้งเดียวใช้ได้ทั้งบน iPhone และ iPad ซึ่งราคาปรกติอยูที่ 9.99 usd หรือราวๆ 360 บาท แต่ช่วงนี้เค้าลดราคาเหลือ 3.99 usd หรือราวๆ 140 บาทครับ
แต่ช้าก่อน Filmakr ในราคาปรกติจะทำหน้าที่ได้เสมือนเครื่องมือของตากล้องเท่านั้น หากต้องการจะเปิดใช้เครื่องมือสำหรับตัดต่ออย่างเช่น Trim clip, ปรับ Pitch เสียง หรือ export วีดีโอหลังจากตัดต่อเรียบร้อยไปยัง camera roll ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่ม 4.99 usd ครับ แต่ในรีวิวนี้ผมลองใช้แบบ Premium for business ส่วนรายละเอียดความต่างแต่ละแพคเกจดูได้จากหน้าเว็บของ Filmakr ครับ
แม้ว่าหน้าตาเริ่มแรกจะดูเรียบง่ายมาก แต่พอเข้าไปเปิดใช้ฟีเจอร์และตั้งค่าตามเมนูต่างๆ ก็เริ่มมีปุ่มควบคุมต่างๆ งอกเพิ่มขึ้นมา คือต้องบอกก่อนว่าแอพแนว Manual camera สำหรับการถ่ายภาพนิ่งบน iOS ก็พอมีอยู่บ้าง แต่สำหรับการถ่ายวีดีโอแทบจะไม่มีเลย แม้กระทั่งบน android ก็มีแค่ไม่กี่ตัว
Filmakr ทำได้ตั้งแต่การปรับ EV ชดเชยแสง ที่สามารถเลือกแบบ Auto หรือปรับเพิ่ม-ลดตามที่เคยชินก็ได้ แต่ถ้าไม่ถนัดก็มีแบบ Custom ให้ปรับ ISO กับ Shutter speed ได้ ส่วน White Balance ก็สามารถล็อกได้ด้วย หรือพวก Grid ที่เลือกแบบ level แทนก็ได้ ส่วนที่ผมชอบที่สุดคงเป็นเรื่องของการปรับโฟกัสครับ
ปรกติการจะปรับโฟกัสระหว่างวัตถุ 2 สิ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับมือใหม่ แต่สำหรับแอพนี้สามารถตั้งค่าตำแหน่งของการโฟกัสได้มากสุด 3 ตำแหน่ง และระหว่างทำการถ่ายวีดีโอก็แค่แตะไปยังแต่ละจุด ก็เป็นการเปลี่ยนตำแหน่งโฟกัสได้ทันที ช่วยให้การถ่ายวีดีโอดูมืออาชีพกว่าเดิมเยอะ
และเราก็เลือกปรับโหมดได้ระหว่างแบบ Full screen หรือแบบ Editor ที่สามารถถ่ายหลายๆ คลิปมาต่อกัน แล้วสามารถ Trim ตัวคลิปใส่ Filter หรือย้ายตำแหน่งคลิปก็ได้ทั้งนั้น และที่ชอบก็คือใส่เสียงเพลงประกอบ พร้อมปรับ Fade เสียงได้ด้วย
การใช้งานช่วงแรกก็มึนเล็กๆ เพราะฟีเจอร์มันเยอะพอตัวแต่ก็ไม่ยากเท่าไร ใช้เวลาทำความเข้าใจไม่นานมากครับ และนอกจากสิ่งที่เกริ่นมาแล้วก็ยังมีความสามารถอื่นๆ อีกเยอะเช่น Motion แบบต่างๆ อย่าง Normal, Slow Motion, Fast Motion, Strobe Motion หรืออัตราส่วนอย่าง 16:9, 2.20:1, 2.39:1, 1:1 และพวก Filter อีกเพียบ ยังสามารถตั้งเป็น Preset เก็บไว้ใช้ทีหลังได้ และก็มี Dropbox sync อีก
ถ้าชอบการควบคุมแบบ Trigger ก็มีให้เช่นกัน เมื่อเปิดใช้โหมดนี้จะต้องกดค้างเพื่อบันทึกคลิป เมื่อปล่อยปุ่มชัตเตอร์ก็หยุดบันทึกคล้ายๆ กับโหมดถ่ายคลิปของ Instagram ส่วนการปรับแสงไฟแฟลชก็เด็ดตรงที่ปรับได้มากกว่าแค่เปิด-ปิด เพราะมันปรับระดับความสว่างของแฟลชได้ด้วย
แม้ว่าบน iOS จะมีแอพตัดต่อคลิปเก่งๆ อยู่หลายตัวทั้ง iMovie, Pinnacle หรือ Replay แต่พวกนั้นทำหน้าที่เป็น Editor สำหรับตัดต่ออย่างเดียว ซึ่งไม่ตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการทำอะไรแบบทันท่วงทีอย่าง Filmakr ที่สามารถทำหน้าที่เหมือน live preview และตัดต่อได้ทันทีโดยไม่ต้อง Export โยนกันไปมา เรียกได้ว่าถ้าต้องเลือกซื้อแค่แอปเดียว สำหรับจัดการตั้งแต่ต้นจนจบต้องยกให้แอพนี้ครับ
และเนื่องด้วยรายละเอียดของแอพนี้มีค่อนข้างเยอะไม่สามารถรีวิวได้ทั้งหมด ดังนั้นถ้าต้องการหาข้อมูลเพิ่มแนะนำให้เข้าไปดูที่เว็บ Filmakr ดีกว่าครับ