Apple iPhone 15 เปลี่ยนพอร์ตชาร์จไฟจากพอร์ต Lightning ที่ใช้มาตั้งแต่ iPhone 5 มาเป็นพอร์ต USB-C แบบที่มือถือ Android ใช้กัน และเป็นมาตรฐานกลาง หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ Apple ยอมเปลี่ยนเพราะสหภาพยุโรปออกข้อบังคับให้อุปกรณ์พกพาที่จำหน่ายในสหภาพยุโรปจำเป็นต้องชาร์จผ่าน USB-C ได้ เพื่อลดขยะและลดภาระการซื้อสายชาร์จของผู้ใช้ หลังจากวางขายได้ไม่นานก็มีประเด็นออกมามากมายเกี่ยวกับหารชาร์จไฟ โดยเฉพาะการนำสายชาร์จจากมือถือ Android มาชาร์จไฟ บ้างก็ว่าชาร์จได้ บ้างก็ว่าชาร์จไม่ได้ บ้างก็ว่ามีอันตรายต่อตัวเครื่อง วันนี้เราจะมาสรุปให้อ่านกันครับ
ประโยชน์ที่ได้จากการเปลี่ยนพอร์ตชาร์จของ iPhone เป็น USB-C
- หาซื้อง่ายและราคาย่อมเยา: สาย USB-C เป็นมาตรฐานกลาง ทำให้มีสายชาร์จให้เลือกจากหลากหลายยี่ห้อ และมีต้นทุนที่ถูก ทำให้หาซื้อง่ายมาก รวมถึงราคาไม่สูงอีกด้วย
- เชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมต่างๆ ได้ง่าย: อุปกรณ์เสริมที่เป็น USB-C มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เก็บข้อมูลภายนอกอย่าง External SSD, กล้องเว็บแคม, มิกเซอร์เสียง, ต่อภาพออกจอภายนอก เป็นต้น
- รองรับการชาร์จเร็วที่สูงขึ้น: แม้ iPhone 15 จะเปิดตัวมาพร้อมความเร็วในการชาร์จที่เท่าเดิม แต่พอร์ต USB-C รองรับการชาร์จเร็วได้สูงสุดถึง 240W เปิดโอกาสให้ Apple เพิ่มความเร็วในการชาร์จ iPhone ได้ในอนาคต
- ส่งข้อมูลได้รวดเร็วมากขึ้น: สายแบบ Lightning มีข้อจำกัดในส่งข้อมูลอยู่เพียง 480 Mbps ตามมาตรฐาน USB 2.0 เท่านั้น แต่พอเปลี่ยนเป็น USB-C จะเลือกใช้มาตรฐานใหม่ๆ ที่มีความเร็วในการส่งข้อมูลมากขึ้น สูงสุดถึง 20 Gbps เลยทีเดียว
สายชาร์จ USB-C ของ Android และ iPhone มีระยะห่างของขั้วเชื่อมต่อในหัวสายชาร์จไม่เท่ากันจริงไหม
มีข่าวว่าพนักงาน Apple Store ในจีนแจ้งกับลูกค้าว่าไม่ควรนำสายชาร์จของ Android มาชาร์จ iPhone 15 เพราะจะทำให้เกิดความร้อนมากกว่าปกติและอาจให้เกิดความเสียหายได้ โดยระบุว่าเกิดจากช่องว่างระหว่างขาพินที่ 9 และ 11 ของ iPhone และ Android ไม่เท่ากัน
เรื่องนี้เป็นข้อมูลที่ไม่จริง เนื่องจาก USB-C เป็นมาตรฐานกลาง การจะนำมาใช้งานจะต้องมีฮาร์ดแวร์ตรงตามมาตรฐานที่กำหนด ดังนั้นการจะมาทำให้ระยะห่างระหว่างขาพินไม่เท่ากันไม่สามารถทำได้ และ Apple เองใช้พอร์ต USB-C กับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของตัวเองมานานมากแล้ว และไม่เคยมีปัญหากับสายชาร์จจากฝั่ง Android เลยด้วย
สายชาร์จ USB-C ของ Apple มีจำนวนขาพินไม่เหมือนกับ Android ทำให้ใช้ร่วมกันไม่ได้
มีเพจในไทยเปิดเผยภาพด้านในพอร์ต USB-C ของ Android และ iPhone ว่ามีขั้วไฟฟ้าที่ไม่เท่ากัน ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้
เป็นเรื่องไม่จริงอีกเช่นกัน หากดูตามแผนภาพแผนผังพินในพอร์ต USB-C จะเห็นว่าขาที่หายไปคือขาที่เอาไว้ส่งข้อมูลตามมาตรฐาน USB 3.0 และ USB 3.1 ส่วนสายของ Apple ที่แถมมาในกล่องนั้นเป็น USB 2.0 จึงไม่จำเป็นต้องมีขั้วไฟฟ้าตรงนี้ ถ้าเราไปดูสาย USB-C ที่เป็น USB 2.0 หลายๆ ยี่ห้อก็จะมีขั้วไฟฟ้าเท่ากับของ Apple ครับ ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาในการใช้งานแน่นอน
สายชาร์จเร็ว USB-A to C ของ Android บางยี่ห้อใช้ชาร์จ iPhone ไม่ได้
มีรายงานว่ามีคนทดสอบชาร์จ iPhone 15 ด้วยหัวชาร์จและสายชาร์จแท้ของ HUAWEI Mate 60 Pro และไฟไม่เข้า รวมถึงมีรายงานจากผู้ใช้หลายคนที่เจอปัญหาคล้ายๆ กันกับสายชาร์จยี่ห้ออื่นบางยี่ห้อ โดยปัญหาทั้งหมดจะเกิดกับสาย USB-A to C เท่านั้น
เรื่องนี้จริง โดยปัญหามักจะเกิดกับสายชาร์จ USB-A to C ที่เป็นสายชาร์จเร็วของสมาร์ทโฟนแบรนด์จากประเทศจีน เพราะสายชาร์จเหล่านี้จะมีพินไฟฟ้าเพิ่มเข้ามาสำหรับการชาร์จเร็ว ซึ่งอาจจะทำให้ iPhone มองว่าสายชาร์จผิดปกติ จึงทำการตัดไม่ให้ชาร์จไฟ เหตุการณ์แบบนี้เกิดกับ iPad เช่นกัน การนำสายชาร์จเหล่านี้มาต่อกับ iPhone ไม่สร้างอันตรายในการใช้งาน เพียงแต่ไม่สามารถใช้งานชาร์จไฟได้เท่านั้นครับ
สำหรับใครที่จะเลือกซื้อสายชาร์จ iPhone เราแนะนำให้เปลี่ยนมาใช้แบบ C to C เลยจะดีกว่า ซึ่งจะเป็นมาตรฐานที่ถูกใช้ในกับทุกอุปกรณ์ในอนาคตครับ ใครที่ไม่รู้ว่าจะเลือกอะไรดี เราได้ทำโพสต์แนะนำสายชาร์จสำหรับ iPhone 15 ไว้ด้วยครับ ไปดูกันได้เลย