สวัสดีค่ะ วันนี้พลอยจะมาแชร์ประสบการณ์การเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม และจอประสาทตาฉีกขาดของตัวเอง เพื่อที่ทุกคนจะได้สังเกตตัวเองและรักษาได้อย่างทันท่วงทีนะคะ
ก่อนอื่นเลย ต้องเท้าความก่อนว่า พลอยเพิ่งรู้ว่าพลอยเองมีปัญหาเรื่องจอประสาทตาต่อเนื่องนับตั้งแต่ยังเด็กแล้วค่ะ เกิดจากสายตาสั้นมาตลอดแต่ถูกปล่อยไว้ระยะเวลานาน มาได้รับการรักษาจริง ๆ จัง ๆ อีกทีก็ตอนสายตาไปไกลมากแล้ว และเนื่องจากตลอดชีวิตไม่เคยตรวจสุขภาพประจำปีอย่างจริงจังจึงไม่เคยตรวจพบสิ่งนี้ บวกกับวัยและการใช้งานที่ไม่ได้โหดแบบในปัจจุบันจึงยังไม่แสดงอาการมากนัก
สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์พลอยก็จะไม่ทราบมาก่อนเช่นกัน ฉะนั้นหมั่นสังเกตอาการของตนเอง หรือจากการบอกเล่าของบุตรหลานของท่านไว้ให้เป็นอย่างดีด้วยนะคะ
สารบัญเนื้อหา
เด็กร้องว่าเห็นสิ่งแปลก อาจไม่ใช่สิ่งลี้ลับเสมอไป
สมัยจำความได้ มีครั้งหนึ่งพลอยวิ่งเล่นขึ้นลงในบ้านแล้วเห็นลูกแฟลชแลบ ๆ กลม ๆ เบลอ ๆ อันจิ๋ว ๆ ลอยอยู่ตรงหน้าค่ะ ตอนนั้นเรายังเด็กไม่รู้จะเรียกว่าอะไร เลยเรียกลูกแฟลชตามที่เห็นจากการถ่ายภาพของกล้อง พอเอาไปบอกผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็บอกว่า ‘เป็นเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งลี้ลับมาสื่อสาร‘ ในตอนนั้นเราไม่มีความคิดเห็นอะไรมากกว่านี้ด้วยความที่ยังเด็กมาก ผู้ใหญ่ว่าไงเราก็ว่าตามค่ะ และก็ไม่ได้คิดใส่ใจอะไรเรื่องนี้อีกเลย
สายตาสั้น อาจรุนแรงกว่าแค่การ ‘มองไม่ชัด’
โตขึ้นสักประมาณประถม มัธยม เราเป็นคนที่หลงไหลในการใช้โทรศัพท์และคอมพิวเตอร์มาก แต่เล่นเป็นเวลานะคะ เพราะยังอยู่ใต้การควบคุมดูแลของผู้ปกครอง แต่สิ่งหนึ่งที่เราสังเกตตัวเองได้ คือ สายตาเราสั้นลงอย่างรวดเร็วมากค่ะ เราเลยแจ้งพ่อว่าเรามีปัญหาแบบนี้ที่สายตา แต่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สำหรับบ้านเราที่ไม่ได้มีฐานะดีมาก การตัดแว่นนั้นผู้ใหญ่มองว่าเป็นการใช้เงินเยอะและสิ้นเปลือง (เหมือนกับการอยากดัดฟันแฟชั่น) ถ้ายังไม่ได้เป็นอะไรมาก อะไรประหยัดได้ก็ประหยัด และเวลาหลับตา เรามักจะเห็นแสงมัว ๆ จาง ๆ เพชร ๆ วิบวับ ทั้ง ๆ ที่ห้องมืดสนิท แต่เราก็คิดว่ามันปกติมาตลอดชีวิต
พอเริ่มโตขึ้นมาอีกหน่อย ประมาณช่วง ม.1-2 เราเริ่มรู้สึกว่าตาเรามันไม่ไหวจริง ๆ เลยขอร้องที่บ้านแบบจริงจังว่าให้พาไปตัดแว่น ทีแรกก็ไม่เป็นผลเท่าไหร่นัก แต่เคราะห์ดีที่แถวบ้านมีร้านแว่นตาให้เข้าไปวัดสายตาได้ฟรี เราเลยเอาผลวัดสายตาไปขอร้องพ่ออีกครั้ง ผลคือตอนนั้นได้แว่นมา 1 ชิ้น แบบที่ถูกที่สุด แต่ก็ถือว่าดีมาก ๆ แล้วสำหรับเราในตอนนั้น
และตามวัย …เราอยากสวยอยากงามตามกระแส จึงซื้อคอนแทคเลนส์บิ๊กอายส์มาลองใส่เป็นครั้งแรก ใส่คู่กับแว่น แต่อีกหนึ่งพฤติกรรมที่ห้ามทำตามเด็ดขาดเลยคือ เราอยากประหยัดค่าขนม จึงเลือกที่จะปั่นจักรยานไปโรงเรียน ทำให้หลายครั้งที่ฝนตกแล้วเราใส่คอนแทคเลนส์อยู่ มันก็เปียกเข้าตาทั้งอย่างนั้น (นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในพฤติกรรมทรมานดวงตาที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างเป็นอย่างยิ่ง) เวลาถอดออกมันเลยจะสาก ๆ คอนแทคเลนส์เกาะกับเนื้อตาเวลาถอดก็ถอดลำบากเหมือนจะดึงตาเราออกมาด้วยยังไงยังงั้น เราก็ไม่รู้หรอกว่านี่คืออาการตาแห้ง ควรพักสายตา กับหยอดน้ำตาเทียม
แต่น้องแว่นก็อยู่กับเราไม่นาน เนื่องจากพ่อเรารับน้องหมาตัวใหม่มาเลี้ยงค่ะ ทีนี้ด้วยความที่ลูกหมาวัยกำลังซน เราที่นั่งอ่านหนังสืออยู่กับพื้นเลยไม่ทันระวัง โดนน้องคาบแว่นที่วางไว้ไปฟัดและขย้ำตามระเบียบ ผลคือหน้าแว่นมีรอยขูดขีดเป็นรอยฟันสุนัข จนมองภาพแทบไม่ได้ ขาแว่นก็ถูกน้องกัดจนผิดรูป ใช้งานไม่ได้ พอไปขอให้ที่บ้านช่วยตัดแว่นให้ใหม่ ที่บ้านก็ปฏิเสธแล้วบอกว่าเรารักษาของไม่ดีเอง เราเลยทำใจตามนั้นค่ะ ช่วงนั้นเลยกัดฟันอยู่กับแว่นที่มีรอยฟันสุนัขและขาแว่นที่พยายามพันสก๊อตเทปให้เข้ารูปไปพักใหญ่ แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวจริง ๆ ต้องยอมทิ้ง เพราะมันเวียนหัวมาก
เราขอให้พ่อช่วยพาไปตัดแว่นใหม่อีกครั้ง แต่คำขอไม่เป็นผล เพราะพ่อมองว่าเรารักษาของไม่ดี จึงไม่ตัดแว่นให้ใหม่ ตามประสาเด็ก เวลาร้องขออะไรจะเหมือนงอแง เราก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเลยพยายามเอาตัวรอดเท่าที่สามารถทำได้ คือ ใช้ชีวิตด้วยคอนแทคเลนส์ล้วน ๆ เนื่องจากเราทรมานสายตาจริง ๆ และเมื่อต้องใช้ชีวิตด้วยคอนแทคเลนส์ เราจึงเรียนรู้ที่จะตั้งใจรักษาความสะอาดอย่างดี เพราะช่วงนั้นมีข่าวคนติดเชื้อที่ดวงตาเพราะไม่รักษาความสะอาดระหว่างใส่คอนแทคเลนส์เยอะมาก (สิ่งนี้ต้องขอขอบคุณพี่อ้อย ร้านแว่นท็อปเจริญ เมื่อ 10 กว่าปีก่อนที่เป็นคนสอนพลอยใส่คอนแทคเลนส์คนแรกเลยค่ะ) แต่ในตอนนั้นก็มีเผลอใส่นอนบ้างด้วย เพราะบางครั้งง่วงจัดมากจริง ๆ และในตอนนั้นเองที่เราไม่รู้เลยว่าการใส่คอนแทคเลนส์นอนเป็นการเร่งมีปัญหาโรคตาแห้ง บวกกับเราเป็นคนชอบเล่นโทรศัพท์มือถือในที่มืดอยู่แล้วด้วย ยิ่งไปกันใหญ่เลย เราก็ทนไม่มีแว่นอยู่นานหลายปี …แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะเราก็กลัวไม่สวย เลยไม่ค่อยอยากใส่แว่นอยู่แล้วเหมือนกัน (อันนี้อยากย้อนไปบอกตัวเองว่าคิดผิดพลาดมหันต์)
เราใช้ชีวิตโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าดวงตาของเรากำลังได้รับการทำลายอย่างเงียบ ๆ และไม่เคยได้รับการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างจริงจัง โดยต้องแยกออกเป็น 2 กรณี คือ 1. โรคจอประสาทตาเสื่อมที่เป็นมาตั้งแต่เด็ก และ 2. โรคสายตาสั้นที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต จนทำให้เกิดโรควุ้นในตาเสื่อมและจอประสาทตาฉีกขาดตามมา
เรามีความจำเป็นต้องทำงานหาเงินให้ตัวเองตั้งแต่อายุ 16 และเราเป็นคนชอบใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานมาก บวกกับสายตาสั้น ในบางครั้งที่ไม่ได้ใส่คอนแทคเบนส์ก็ใช้การเพ่งเอา ผลคือ ทั้งแสงหน้าจอ แสงสีฟ้า แสงไม่เพียงพอ สายตาสั้น การเพ่ง และตาแห้ง ได้รุมทำลายดวงตาเราอย่างช้า ๆ มาเป็นเวลาหลายสิบปีโดยที่เราไม่รู้ตัว ยิ่งตอนได้ทำอาชีพแอดมิน ตอบแชท โพสต์เฟซบุ้ค ร้องเพลงกลางคืน เรียน พิมพ์งาน ทำกราฟิก ตัดต่อวิดีโอ ฯลฯ ก็ยิ่งทำให้เราละเลยการใช้สายตามากขึ้นกว่าเดิม เพราะเรามีความรู้สึกว่าต้องทำทุกอย่าง ต้องรักษาทุกอย่างไว้ให้สำเร็จ ไม่อย่างนั้นจะอดตาย เราหันหน้าไปพึ่งใครไม่ได้ ไม่มีใครช่วยเหลือเรานอกจากตัวเราเอง…
จนกระทั่งอายุ 26 ดวงตาของเราทนไม่ไหว ประท้วงขึ้นมาในที่สุด !!!!
การผจญภัยแห่งการรักษาดวงตา
ประมาณช่วงเดือนเมษายน 2566 ตอนนั้นเราโดนโรคตาแห้งโจมตีอย่างหนัก ลืมตาแล้วฝืด มีขี้ตาเกาะ หยอดน้ำตาเทียมก็แสบ จนต้องไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดตอนนั้นคือโรงพยาบาลบางโพ หมอย้อมสีตาเพื่อตรวจ และบอกว่าตาเราแห้งมากจนเห็นผิวตาเป็นเหมือนผิวดินที่แห้งแตก หมอเลยจัดยาหยอดตา และน้ำตาเทียมแบบน้ำและแบบเจลมาให้ เราก็รักษาตามอาการจนดีขึ้นเป็นปกติ และยังใส่คอนแทคเลนส์และใช้ชีวิตทำงานตามปกติ ไม่ได้คิดว่าจะมีเรื่องผิดปกติอะไรเกิดขึ้น
จน ณ วันหนึ่ง วันที่ตั้งใจไปถ่ายคอนเทนท์ถึงระยอง วันนั้นจู่ ๆ ตาซ้ายเรามีความผิดปกติคือเบลอเฉียบพลัน มองอะไรไม่เห็นจนเราตกใจ ต้องรีบถอดคอนแทคเลนส์อย่างฉุกเฉิน วันนั้นตาเราแดงก่ำ พยายามหยอดยาและหยอดน้ำตาเทียมเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล เราเลยรีบนอน เพราะคิดว่าตื่นเช้ามาก็คงจะดีขึ้น แต่ปรากฎว่าไม่ เรายังคงเป็นอยู่ และที่สำคัญ เราเริ่มเห็นแสงไฟกระจายเป็นวงคล้ายรุ้งหลายแฉก และมองเห็นฟ้าฝ่า (ลูกแฟลช) อีกครั้ง เรานึกถึงสมัยเด็กทันทีว่ามันเหมือนกันมาก แต่รอบนี้ จากกลม ๆ เล็ก ๆ มัว ๆ ตันกลายเป็นสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดแนวนอนที่ขอบชัดขึ้น
ตอนนั้นเราก็ตกใจมากจนต้องล้มแพลนเที่ยว แล้วรีบไปหาหมอที่โรงพยาบาลกรุงเทพ-ระยองเดี๋ยวนั้นเลย ได้ความว่าเป็นโรคกระจกตาบาง แต่ยังไม่มีรอยฉีกขาด ถ้าจะรักษาเรื่องกระจกตาฉีกขาด หมอประเมินไว้ที่ 35,000.- ตอนนั้นเราตั้งใจจะทำเลย แต่หมอบอกว่า จะต้องมีการผ่าตัด และพักฟื้นอย่างจริงจัง แนะนำให้ไปทำประกันไว้จะดีกว่า แฟนเราเลยบอกให้กลับมารักษาที่กรุงเทพจะชัวร์กว่า บวกกับเราเคยทำงานกับจักษุแพทย์ และมีความรู้จักกันในระดับหนึ่ง เลยรอไปตรวจซ้ำอีกครั้งที่กรุงเทพทีเดียว
จักษุแพทย์ที่เรารู้จักได้ทราบข้อมูลทั้งหมด จึงทำการตรวจซ้ำให้อีกครั้ง พบว่ามีสายตาสั้นขึ้นมากจากค่าเก่า แต่การมองเห็นยังถือว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ไม่มีการเห็นเป็นจุดดำ หรือมองเส้นตรงเบี้ยว หมอบอกให้หยอดยารักษาอาการตามเดิมตอนที่เป็นโรคตาแห้งได้ และเท่าที่ดูคือยังมีอาการวุ้นในตาเสื่อม (Floater) อย่างต่อเนื่อง แต่ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่พบเจอได้ทั่วไปจากตามวัยที่เพิ่มขึ้นและคนทำงานในยุคสมัยนี้
2 เดือนให้หลัง จากตรวจตาครั้งล่าสุด ตาเรายังคงเห็นแสงแฟลช และที่หนักข้อขึ้นคือ เมื่อพลิกตัวตอนนอน ก็จะเห็นเป็นเงาขอบโค้งเสี้ยวพระจันทร์วาบขึ้นที่หางตา เวลาพยายามมองที่ปลายหางตาก็จะเห็นเป็นเงาสะท้อนแสงวูบ ๆ แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และเริ่มหลับตาเห็นเป็นกลิตเตอร์กระจาย ๆ เหมือนอยู่ในมิติกระจกของ Dr. Strange และเมื่อจ้องไปที่อะไรสักพัก ตรงกลางจะเริ่มบอดเป็นจุดดำ และเวลาดูโทรทัศน์ เราเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่าอันไหนเอฟเฟกต์จากภาพยนตร์ อันไหนจากความเสื่อมสภาพของดวงตา ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากใน 3 สัปดาห์ เราจึงเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาจักษุแพทย์ของเรา จักษุแพทย์ของเราให้ความเห็นว่า คงต้องไปตรวจกับแพทย์จอประสาทตาโดยตรงที่เป็นเพื่อนเขา เราจึงตัดสินใจไปที่โรงพยาบาลลาดพร้าวทันทีในวันรุ่งขึ้น
เลเซอร์จอประสาทตาฉีกขาด เป็นแบบนี้นี่เอง
ปรากฎว่าตอนนี้จอประสาทตาเรามีรอยฉีกขาด เนื่องจากข้างที่เป็นหนักคือมีอาการวุ้นในตาเสื่อมจนฉุดลอกจอประสาทตาลงมา เลยทำให้เห็นภาพแสงแฟลชและเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ หมอให้ทางเลือก 2 ทางคือ
1. ประคับประคองอาการ และมาตรวจอย่างสม่ำเสมอ (ในกรณีที่คนไข้ไม่มีงบในการรักษาทันทีในขณะนั้น) และ
2. ทำการรักษาด้วยการยิงเลเซอร์แบบ PRP ที่ดวงตา ค่ารักษาสุทธิ ประมาณ 7,500 บาท (ค่าแพทย์ + เครื่องมือ ประมาณ 6,500 บาท และค่าจิปาถะ) สำหรับเราถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับการรักษาในทันทีแบบไม่มีประกันชีวิตของโรงพยาบาลเอกชน
(เรื่องประกันชีวิต ทีแรกเราค่อนข้างให้ความสนใจจากที่หมอคนก่อนแนะนำมานะ แต่พอได้ศึกษา พูดคุยกับตัวแทนประกัน พบว่ามีหลายจุดที่รู้สึกว่ายังไม่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ อาจเพราะยังไม่เจอสิ่งที่ใช่ เลยไม่ได้สนใจสมัคร)
เราตัดสินใจทำการรักษาทันทีในวันที่ 19 ตุลาคม 2566 เวลาประมาณ 17:30 รวมรอหมอตรวจคนไข้คนอื่น และรักษาเราเสร็จสิ้นประมาณ 20:30
การรักษาคือ จะมีเครื่องเลเซอร์ที่หน้าตาคล้ายเครื่องตรวจตาให้เราเอาคางไปวางตามปกติ โดยหมอกับพยาบาลจะช่วยกันจัดท่า ให้เราสบาย ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป หลังจากนั้นจะมีอุปกรณ์มาประกบที่ดวงตา และพยาบาลจะล็อกศีรษะเราให้มั่นคงกับเครื่อง หลังจากนั้น หมอจะทดสอบระดับเลเซอร์ด้วยการยิงเข้าที่ตาของเรา โดยหมอจะคอยให้จังหวะเป็นระยะ และคอยบอกเราว่า หากรู้สึกรับไม่ไหว ให้ครางอื้อ ๆ ออกมา
ความรู้สึกตอนเลเซอร์ยิงเข้าจัง ๆ ที่ดวงตาคือ นาทีแรกค่อนข้างกลัวมากเพราะเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต แต่สักพักพอปรับตัวกับความรู้สึกได้ก็ไม่ได้รู้สึกว่าอะไรเจ็บมาก แค่รู้สึกว่ามีพลังงานอุ่น ๆ บางอย่างกำลังทำปฏิกิริยากับจอประสาทตา เห็นแต่แสงสีเขียวของเลเซอร์กระพริบ ๆ อยู่ในตาเรา และที่สำคัญ ไม่รู้สึกว่ามันจะจี๊ดขึ้นสมองแบบที่เคยจินตนาการไว้ก่อนหน้านี้ ขอบเขตการทำงานของพลังงานเลเซอร์อยู่แค่บริเวณดวงตาของเราเท่านั้น
เวลาผ่านไปสักแปปนึงก็เริ่มเข้าสู่ความชิน เริ่มรู้สึกมีความสุข เพราะดวงตาของเรากำลังได้รับการรักษาแล้ว และดวงตาของเรากำลังดีขึ้น (หมายถึง ไม่เป็นอะไรไปมากกว่านี้น่ะนะ ไม่ได้หมายความว่ารักษาแล้วจะกลับมาปกติ 100%) ไม่ได้แย่ลง
ที่รู้ ๆ คือ หลังจากเลเซอร์ดวงตามา รู้สึกเพลีย อยากนอนทั้งวันมาก ๆ อาจเพราะร่างกายต้องการการฟื้นฟูมากกว่าที่คิด รักษาเสร็จไม่มีการปิดตา ไม่ต้องพักฟื้นใด ๆ กลับบ้านทำงาน อาบน้ำได้ตามปกติ แค่ต้องระมัดระวังการออกกำลังกาย ก้ม ๆ เงย ๆ หรือการกระทบกระแทกที่ศีรษะ และส่วนตัวเราระมัดระวังการใช้งานโทรศัพท์มือถือในที่มืดมากยิ่งขึ้น โดยจะเปิดไฟหัวเตียงให้ความสว่างเพียงพอต่อการใช้งานเสมอ
หมอบอกว่าหลังการรักษาอาจมีอาการปวดตาและปวดหัวได้ ซึ่งหมอก็ได้ให้ยาแก้อักเสบ (iburophen) และยาหยอดตา ToBraDex มา ราวครึ่งชั่วโมงแรกยังคงดีดยาชาอยู่ เราหิว เลยอยากไปกินนั่นกินนี่ แต่พอสักพัก ยาชาเริ่มหมดฤทธิ์ ความปวดตาข้างที่รักษาเริ่มกระหน่ำเข้ามาแทน ปวดจนพูดไม่ไหว ต้องรีบหาอาหารยัดแล้วกรอกยาเข้าปาก นาทีนั้นสิ่งที่แวบเข้ามาในหัวคือ เราก็ลืมแจ้งหมอว่าเป็นโรคกระเพาะ กินยาตระกูล iburophen ไม่ได้ แต่เอาไงก็เอา พยายามหาอาหารเข้าไปในท้องให้ได้มากที่สุดแล้วก็กินยา หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนมากินพาราแทน
และด้วยความที่เราสายตาสั้นมาก และไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมตั้งแต่เด็ก อย่างไรปัญหาสายตาก็จะยังคงมีอยู่ และจะมีเปอร์เซ็นต์การเกิดปัญหาสายตามากกว่าคนปกติทั่วไปที่ไม่ได้มีสายตาสั้นด้วย เพียงแต่ต้องทำการดูแลให้ดี หากเราต้องการทำเลสิก จะต้องทำการตรวจจอประสาทตาอย่างละเอียดอีกครั้ง เนื่องจากสายตาสั้นกับโรคจอประสาทตาฉีกขาด ถือเป็นคนละโรคกัน แม้ปัญหาจะเกี่ยวเนื่องกันก็ตาม
การมองเห็นที่หายไป
ปัจจุบันตาขวาพลอยจะมองไม่ค่อยปกตินัก จะเห็นเป็นมัว ๆ มากขึ้น แต่ก็ยังคิดเป็นมองเห็นระดับปกติ 99% (เพราะจอประสาทตาฉีกขาดไปเรียบร้อยแล้วถึงได้มารักษาในภายหลัง) เพราะถ้าเทียบกับของคนทั่วไปแต่ก็ยังถือว่าพลอยโชคดีกว่าหลายคนที่เป็นโรคเดียวกันอยู่มากโข เพราะบางคนอาจสังเกตตัวเองเจออีกทีคือตอนจุดรับภาพเบี้ยว บอด ไปแล้วก็มี
แค่ของพลอยต้องไม่โดนไฟส่องตาจัง ๆ ซึ่งเราเป็นคนทำคอนเทนต์ ทำรีวิว เลี่ยงสิ่งนี้ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ก็ต้องมาปรับการจัดแสง จัดไฟ ปรับตัวกันใหม่
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ปกครองให้คอยสังเกตอาการของบุตรหลานของท่าน หากเด็กร้องขอว่าอยากใส่แว่น หรืออยากจัดฟัน อาจเป็นสัญญาณกลาย ๆ ถึงผู้ปกครองก็ได้ กรุณาอย่าเหมารวมว่าเด็กอยากทำตามกระแสไปเสียทั้งหมดเลยนะคะ (จากใจคนที่เคยเป็นเด็กมาก่อน แล้วต้องมาตามแก้สุขภาพตัวเองอย่างหนักหน่วงในภายหลัง) อย่างน้อยก็พาเด็ก ๆ ไปตรวจหน่อยนะคะ อย่าประหยัดในเรื่องที่ไม่ควรประหยัด และอย่าให้เด็ก ๆ ต้องโตมาแบบพลอยเลยค่ะ ร่างกายพังแล้วไม่ได้รับการซ่อมนาน ๆ ร่างเด็กยังไม่เท่าไหร่ แต่โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ร่างกายเริ่มทรุดโทรมลง บอกเลยว่าคอมโบป่วยแน่นอน และคนทั่วไปที่มีอาการแบบเดียวกัน ขอเตือนว่าถ้ามีอาการอย่าปล่อยทิ้งไว้นาน ขนาดพลอยว่าตรวจถี่มากแล้วยังรอดหวุดหวิด (ถ้าช้าไปกว่านี้อีก 2-3 สัปดาห์ ไม่อยากจะคิดว่าจะเป็นอย่างไร) หวังว่าผู้ที่ได้อ่านบทความนี้ ทั้งคุณและบุตรหลานของคุณจะมีสุขภาพที่ดีกว่าพลอยมาก ๆ นะคะ