รีวิวควบ Xiaomi 12 Series จัดหนักสองรุ่นทั้ง Xiaomi 12 และ Xiaomi 12 Pro

จัดว่าเป็นอีกรุ่นที่คนให้ความสนใจกันเยอะ กับ Xiaomi 12 Series ที่พึ่งเปิดตัวในไทยไปไม่นาน ทั้งรุ่นปรกติ Xiaomi 12 และรุ่นใหญ่ Xiaomi 12 Pro โดยทั้งคู่มีสเปคใกล้เคียงกันมาก โดยจุดต่างหลักคือขนาดหน้าจอและกล้องหลัง เรียกได้ว่าถ้าประหยัดงบก็เลือกใช้ Xiaomi 12 ได้ แต่ถ้าชอบจัดสุดก็ไปต่อที่ Xiaomi 12 Pro

จุดเด่นของ Xiaomi 12 และ Xiaomi 12 Pro

Xiaomi 12 series มีจุดที่เหมือนกันคือ Snapdragon 8 Gen 1 ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผลรุ่นล่าสุดของค่าย หน้าจอเป็นแบบ AMOLED, Refresh Rate 120Hz แบบ AdaptiveSync เหมือนกัน โดยจะปรับเพิ่มลดความถี่ตามความเหมาะสม เพื่อการบริหารพลังงานพร้อมกับการส่งมอบความสวยงามในการแสดงผล โดยมีจุดต่างตรงขนาดหน้าจอที่เป็น 6.28 นิ้ว ความละเอียด FHD+ ความสว่างสูงสุด 1100 nits กับ 6.73 นิ้ว ความละเอียด WQHD+ ความสว่างสูงสุด 1500 nits

ถ้ามองในแง่การใช้งานจริงแล้วแทบไม่ต่างกันเลย เพราะความละเอียดที่ต่างกันก็มีปัจจัยเรื่องขนาดหน้าจอที่ต่างกันด้วย และแม้ว่ารุ่น Xiaomi 12 Pro จะมีหน้าจอ WQHD+ แต่ก็เลือกโหมด Save Battery ได้ เพื่อให้สลับความละเอียดลดลงมาเป็น FHD+ ในบางแอปที่ไม่ต้องการความละเอียดสูง เพื่อให้ใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น

ส่วนลำโพงก็ใช้บริการ Harman Kardon และรองรับ Dolby Atmos พร้อมกับลำโพง 2 ตัวสำหรับรุ่น Xiaomi 12 และลำโพง 4 ตัวสำหรับรุ่น Xiaomi 12 Pro ซึ่งการใช้งานจริงต้องบอกว่าเสียงดีมาก …ดีมากๆ ดีมากจริงๆ

Xiaomi 12 Series คือ Entertainment Device ที่ดีมากๆ

เรื่องของกล้องก็คล้ายกัน โดยจุดที่เหมือนกันคือกล้องหน้า 32MP f/2.45 ส่วนกล้องหลังมีความคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันคือ

  • กล้องหลัก 50MP
    • Xiaomi 12 มีขนาดเซ็นเซอร์ 1/1.56″, ขนาดพิกเซล 1.0μm, รูรับแสง f/1.88 พร้อม OIS
    • Xiaomi 12 Pro มีขนาดเซ็นเซอร์ 1/1.28″, ขนาดพิกเซล 1.22μm, รูรับแสง f/1.9 พร้อม OIS
  • กล้องมุมกว้าง
    • Xiaomi 12 ความละเอียด 13MP, รูรับแสง f/2.4, มุมกว้าง 123° FOV
    • Xiaomi 12 Pro ความละเอียด 50MP, รูรับแสง f/2.2, มุมกว้าง 115° FOV
  • กล้องตัวที่สาม
    • Xiaomi 12 กล้อง Telemacro ความละเอียด 5MP, รูรับแสง f/2.4, โฟกัสใกล้สุด 3-7 ซ.ม.
    • Xiaomi 12 Pro กล้อง Tele ความละเอียด 50MP, รูรับแสง f/1.9, เทียบเท่า 48mm

โดยมาพร้อมระบบโฟกัสที่เก่งขึ้นในชื่อ Xiaomi ProFocus ที่จับโฟกัสได้ทั้งแบบ Motion tracking focus, Eye tracking focus, Motion capture ช่วยให้โฟกัสเข้าเป้าและเกาะติดหนึบมากขึ้น และทั้งคู่ก็มาพร้อมกับการประมวลผลกันสั่นแบบ EIS หรือที่เรียกกันว่า “กันสั่นพิเศษ” ช่วยให้งานวีดีโอเนียนตายิ่งขึ้นสำหรับกล้องหลัง

ถ้าชอบกล้องซูมให้เลือก Xiaomi 12 Pro แต่ถ้าชอบมาโครให้เลือก Xiaomi 12

จุดสุดท้ายก็คือเรื่องพลังงานที่ Xiaomi 12 ให้แบตเตอรี่ขนาด 4500mAh พร้อมระบบชาร์จเร็ว 67W ส่วน Xiaomi 12 Pro มีแบตเตอรี่ขนาด 4600mAh พร้อมกับระบบชาร์จเร็วอลังการที่ 120W

ประสบการณ์ใช้งานจริง

การออกแบบที่ตอบโจทย์ทุกเพศทุกวัย

ผมกับแฟนเอา Xiaomi 12 Series มาใช้จริงในชีวิตประจำวันตามสไตล์ของแต่ละคน จุดแรกที่แฟนผมชอบ Xiaomi 12 ก็คือสีของตัวเครื่องที่มีความเป็นม่วงประกาย และเมื่อให้สาวๆ ใช้ก็จะมีการเลือก Theme ปรับ Font ต่างๆ ให้ดูมุ้งมิ้ง ซึ่ง MIUI 13 ก็มีตัวเลือกพวกนี้เยอะพอตัว

ส่วนผมที่เป็นแนว Geek และเป็นสาย Businessman ก็ต้องการภาพลักษณ์ที่ดูน่าเชื่อถือ ดังนั้นการใช้ Xiaomi 12 Pro ที่สีเข้มก็ช่วยให้ดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น บวกกับดีไซน์ของ Xiaomi 12 Series มีการเลือกใช้วัสดุและออกแบบมาได้สมราคา จึงทำให้เป็นรุ่นที่ส่งเสริมภาพลักษณ์มาก

แต่จุดอ่อนของค่ายนี้แม้จะเป็นรุ่น Flagship ก็คือเคสที่น้อยมาก ไม่ค่อยมีแบรนด์ใหญ่ทำเคสออกมาให้ใช้ ยังดีที่ในกล่องมีเคสใสติดมาให้ ซึ่งรุ่นที่หน้าตาดูดีแบบนี้ก็ควรจะมีเคสที่สมฐานะให้เลือกกันหน่อย หรืออย่างน้อยทาง Xiaomi ทำออกมาขายเองก็ยังดี

ประสิทธิภาพระดับแนวหน้าที่จัดการความร้อนได้ดี

ส่วนตัวแล้วผมกับแฟนไม่ค่อยเล่นเกมบนมือถือ แต่ด้วยความอยากรู้ก็เลยกด Genshin Impact พบว่าครั้งแรกที่มีการโหลดตัวเกมแล้วเข้าเล่นเกม เครื่องจะร้อนมากตั้งแต่ช่วง 5 นาทีแรก ซึ่งเป็นเรื่องปรกติแม้แต่ Gaming Phone ตัวทอปก็ยังร้อน แต่ถ้าวางทิ้งไว้ให้เครื่องได้พัก แล้วเอามาเล่นใหม่ คราวนี้จะเล่นยิงยาวได้โดยไม่ร้อนแล้วครับ …พูดง่ายๆ ว่ามันจะร้อนเฉพาะตอนที่ต้องโหลดไฟล์ตัวเกมขนาดใหญ่เท่านั้น

เรื่องความร้อน ผมเทียบกับ ROG Phone 5 ที่เป็นมือถือสายเกมแท้ๆ ก็ต้องบอกว่า Xiaomi 12 Series จัดการความร้อนได้ดีไม่แพ้กันเลย

ก็ต้องชื่นชมทาง Xiaomi ที่บริหารจัดการความร้อนภายในตัวเครื่องได้ดี ช่วยนำพาความร้อนออกจากตัวเครื่องได้เยอะ ทำให้การเล่นเกมต่อเนื่องก็ยังลื่นไหล …ส่วนการใช้งานอื่นๆ ก็ต้องบอกว่าไม่พบปัญหาเรื่องความร้อนแต่อย่างใด

บริหารพลังงานได้ดี ชาร์จได้เร็วอลังการ

ในการใช้งานจริงหลังจากที่ Setup เครื่องเสร็จเรียบร้อย แบบที่แอปต่างๆ ทำการอัปเดทและซิงค์เรียบร้อย หลังจากนั้นก็บริหารพลังงานได้ดี ไม่ได้อึดสุดในท้องตลาดแต่ก็อยู่ในระดับดี ส่วนระบบชาร์จก็เร็วสะใจมากโดยเฉพาะ Xiaomi 12 Pro ที่ชาร์จได้ 120W แปบๆ ก็เต็ม และทั้งคู่ยังชาร์จไร้สายที่ 50W ซึ่งถือว่าเร็วมาก

ความกังวลของ MIUI 13 ที่ใช้จริงแล้วไม่มีปัญหา

ด้านความเสถียรของ MIUI 13 เป็นสิ่งที่คนกังวลกันเยอะ …จากที่ผมใช้งานมาก็ไม่พบเจอปัญหาที่น่าหงุดหงิดเมื่อเทียบกับค่ายอื่น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือสมาร์ทโฟนยุคนี้มีปัญหากันทุกรุ่น แม้แต่รุ่นที่เค้าว่าเสถียรสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นฝั่ง iOS หรือ Android ก็ยังมีปัญหากวนใจ ผมเลยมองว่า MIUI 13 ทำได้ตามมาตรฐานปี 2022 ครับ

และถ้าได้ใช้หลายๆ ค่ายในปี 2021-2022 จะพบว่ามาตรฐานความเสถียรก็จะประมาณนี้กันหมดครับ และที่สำคัญคือการอัปเดทแต่ละครั้งก็อาจจะดีขึ้นหรือแย่ลงก็ได้ ผมเลยมองว่า MIUI 13 อยู่ในเกณฑ์ปรกติไม่ได้แย่กว่าค่ายอื่นในตอนนี้

คือนอกจากเครื่องการ Setup ตอนเริ่มใช้งานครั้งแรกที่มัน Loading นานกว่าที่ควรแล้ว นอกจากเรื่องนี้ก็ยังไม่เจอปัญหาอะไรเลย …แม้แต่การแจ้งเตือน Notification ที่บางคนกังวล ก็ทำงานได้ปรกติ แต่ก็ต้องอธิบายเพิ่มว่า Android จะมีการแจ้งเตือนช้ากว่า iOS อยู่แล้วนะครับ ด้วยตัวระบบเค้าออกแบบมาอย่างงี้ ถ้าจะเอาไปเทียบกับ iOS ยังไงก็ช้ากว่า แต่ถ้าเทียบกับ Android ด้วยกันก็ถือว่า Xiaomi 12 Series ไม่มีปัญหาด้านการแจ้งเตือนครับ

ที่สุดของความบันเทิงในอุ้งมือ

หากไม่มองที่สเปคและใช้ความรู้สึก ก็จะพบว่าหน้าจอของ Xiaomi 12 Series สวยมาก ไม่ว่าจะเป็นสีสันหรือความเนียนตา ซึ่งส่วนนี้ก็มีตัวช่วยอย่าง AI image engine ที่มี Super Resolution, AI Image Enhancement, AI HDR Enhancement และ MEMC ที่ช่วยเติมเฟรมให้ภาพดูเนียนตากว่าไฟล์ต้นฉบับ

ส่วนระบบเสียงก็ไร้ที่ติ มันดีมากสำหรับความเป็นมือถือ ไม่ว่าจะ 2 หรือ 4 ลำโพง ก็น่าประทับใจเหมือนกัน เสียงฟังดูมีน้ำมีนวล และก็ให้เสียงที่ดังพอตัว เปิดฟังแทนลำโพงในห้องได้สบาย

กล้องที่ดีพอจะใช้หาเงิน

อันที่จริงแล้ว Xiaomi Flagship รุ่นก่อนหน้านี้ก็มีการเลือกชุดกล้องที่ดี แต่ปัญหาที่คนใช้จริงรู้สึกคือการประมวลผลยังสู้ค่ายอื่นไม่ได้ พอมาถึง Xiaomi 12 Series ก็ต้องบอกว่าประมวลผลดีขึ้นเยอะมาก ถ้าเทียบแบบช็อตต่อช็อตกับคู่แข่งก็อยู่ในระดับผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ คือไม่น้อยหน้าค่ายอื่นเลยครับ

ผมเอา Xiaomi 12 Pro และ Xiaomi 12 มาใช้ถ่ายรูปในชีวิตประจำวันแบบคนทั่วไปที่ใช้จริง ไม่ใช่แบบสายช่างภาพ ผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าประทับใจเลย

สิ่งที่ผมรู้สึกคือคาแรกเตอร์กล้องรุ่นนี้จะมีสีสันที่ค่อนข้างจัด ซึ่งมันเหมาะกับการถ่ายบางอย่างเช่น สิ่งของทั่วไปหรือท้องฟ้าที่เราอยากดึงสีให้เด่นชัด แต่ถ้าถ่ายอาหารภายใต้แสงไฟสีเหลืองก็จะดูจัดไปหน่อย แต่เรื่องของดีเทลรายละเอียดต่างๆ ของกล้องหลังก็ทำได้สมราคา ส่วนความคมของกล้องหน้า ถ้าเทียบกับเรือธงที่เน้นกล้องหลังก็จะไม่หนีกันมาก แต่ถ้าเทียบกับพวกรุ่นที่เน้นกล้องหน้าเลยก็จะดรอปกว่าเล็กน้อย …แต่ถ้ามองภาพรวมและใช้ให้คุ้นมือ ก็ถือว่าดีพอจะใช้เป็นเครื่องหลักแบบไม่ขัดใจ

เรื่องคาแรกเตอร์สีสันของกล้อง ก็เป็นเรื่องของความชอบที่แต่ละคนมองไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะบอกว่าสีจัดไป บางคนอาจจะบอกว่าสีเด่นดี …อันนี้ก็ต้องลองดูเองครับ

ด้านงานวีดีโอทำได้ดีไม่มีปัญหาอะไร การแพนกล้องก็สมูธ แม้จะมีกระตุกบ้างในบางครั้ง แต่รวมๆ ถือว่านุ่มนวลดีครับ และยังมีระบบกันสั่นพิเศษสำหรับกล้องหลัง เหมาะสำหรับการถือเดินแทนการใส่ Gimbal ถ้าใช้ในที่แสงน้อยก็แนะนำให้เปิดกันสั่นแบบ Steady VDO ซึ่งเป็นการเอากล้องหลักมาครอป ทำให้ได้ภาพที่สวยและเนียน แต่ถ้าต้องการแบบนิ่งเหมือนพวก GoPro ควรใช้ในที่แสงเยอะ และเปิด Steady VDO Pro เพราะเป็นการเอากล้องมุมกว้างมาครอป

สำหรับ Content Creator หรือสาย Creative ก็จะสนุกกับรุ่นนี้

  • Dual VDO ไว้ถ่าย 2 กล้องพร้อมกัน และกดสลับตำแหน่งได้ระหว่างถ่าย
  • Long Exposure ที่ลากแสงไฟให้เป็นเส้น ถ่ายน้ำพุน้ำตกให้ฟุ้ง ถ่ายแบบท่ามกลางฝูงชนที่เคลื่อนไหว ถ่ายดาว
  • Clone ให้มีตัวบุคคลหลายตัวตน ทำได้ทั้งภาพนิ่งและวีดีโอ
  • Movie Effect ให้ถ่ายคลิปแนวๆ ได้ เช่น Magic Zoom หรือที่บางคนเรียก Dolly Zoom และ Time Freeze ให้วัตถุหยุดนิ่ง
  • Short VDO ถ่ายคลิปสั้นๆ พร้อมใส่เสียงเพลง เหมาะสำหรับการอัปโซเชียล
  • Vlog เป็นเทมเพลตให้ถ่ายคลิปสั้นๆ หลายๆ ช็อตต่อกัน โดยสามารถทำ Draft ไว้ได้ เหมาะสำหรับทำ Trailer, Teaser, Intro

ตัวแก้ไขรูปแต่งคลิปในตัว ทำได้น่าสนใจ

จุดขายเดิมของค่ายนี้คือตัวแก้ไขรูปที่สามารถเปลี่ยนท้องฟ้าและลบลายน้ำได้ แต่ก็มีอีกหลายจุดที่คนไม่ค่อยพูดถึง เช่น VDO Editor ที่มีเทมเพลตสำเร็จรูป ใส่ฟิลเตอร์ ใส่แคปชั่น ใส่เพลง ปรับอัตราส่วนคลิปได้ เรียกได้ว่าแก้ไขระดับพื้นฐานได้ครบเลย

ส่วนการยำรูปรวมกันในกรอบเดียวก็มี Collage ให้ในตัว ไม่ต้องไปหาโหลดเพิ่ม และยังสามารถทำ Slideshow สวยๆ ได้ด้วยโหมด Clip แค่เลือกรูปก็จะมี AI ช่วยใส่เพลงใส่ Transition ให้ รวมไปถึง Magic ที่จะช่วยลบหรือเปลี่ยน Background หรือแม้แต่จะทำภาพให้ดูอาร์ทๆ ก็มีให้ในตัว

Dual Wi-Fi เชื่อมต่อ 2 ความถี่ได้พร้อมกัน ของดีที่คนไม่ค่อยรู้

จุดที่ผมประทับใจมากเป็นพิเศษคือระบบ Dual Wi-Fi ที่หาได้ยาก ส่วนมากจะอยู่กับ Gaming Phone ราคาสูงๆ ที่ซีเรียสกับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตมากๆ โดยจะทำการเชื่อมต่อ Wi-Fi สัญญาณ 5GHz และ 2.4GHz พร้อมกันซึ่งโหมดนี้จะบริโภคพลังงานมากขึ้น แต่ก็ช่วยให้เน็ตเร็วขึ้นและเสถียรขึ้น โดยเฉพาะถ้าเชื่อมต่อสัญญาณที่มาจากคนละแหล่ง

และรุ่นนี้ยังเป็น Wi-Fi 6 ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดในท้องตลาด หรือว่าง่ายๆ คือเร็วสุดนั่นเอง แต่ก็ต้องใช้ควบคู่กับเร้าเตอร์ที่รองรับด้วย ซึ่งรุ่นใหม่ๆ ก็รองรับแทบทั้งหมดแล้ว ส่วนการใช้งานนอกบ้านก็รองรับ Mobile Data แบบ 5G ทำให้การใช้งานทั้งนอกและในบ้านเป็นไปอย่างราบรื่น

บทสรุป Xiaomi 12 Series

Xiaomi 12 Series เป็นรุ่นที่ดีแบบ Overall ก็คือไม่ได้เด่นไปทางใดทางหนึ่งเป็นพิเศษ แต่ภาพรวมคืออยู่ในระดับเรือธงชนกับคู่แข่งได้สบายในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกล้อง ดีไซน์ หน้าจอ ระบบเสียง การชาร์จ และประสิทธิภาพ คือดีพอที่ผมกับแฟนจะใช้เป็น Android เครื่องหลักครับ