รีวิว HUAWEI FreeClip หูฟังที่ดีไซน์แปลก แต่คิดมาดีแล้ว

หัวเว่ยเริ่มต้นปี 2024 ด้วยทีเด็ดกับหูฟังที่ดีไซน์แปลกตาอย่าง HUAWEI FreeClip ที่ดูละม้ายคล้ายการเจาะหูแฟชั่น ทำให้เรายังคงได้ยินเสียงรอบข้าง พร้อมกับฟังเสียงคุณภาพดีจากหูฟังแบบ open-ear โดยพกคุณสมบัติระดับแถวหน้าของวงการหูฟัง ทั้งการควบคุมแบบสัมผัส การสลับข้างใส่ได้ พร้อมเซ็นเซอร์ตรวจจับการสวมใส่ และระบบตัดเสียงรบกวนสำหรับการสนทนา

ฟังก์ชั่นที่มาพร้อมแฟชั่น

ถ้ามองที่พฤติกรรมการใช้งานของคนยุคนี้ ต้องยอมรับว่าเราเสพสื่อกันมากขึ้น นั่นหมายความว่าเราต้องฟังเสียงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคลิป YouTube, Facebook, TikTok รวมถึงการ VDO Call หรือการโทร ดังนั้นหูฟังจึงเป็นส่วนสำคัญมากกับวิถีชีวิตผู้คน

ที่ผ่านมาก็มีการพยายามพัฒนาหูฟังในรูปแบบต่างๆ ที่สามารถพกพาและใช้งานได้สะดวก เช่น in-ear, earbud, open-ear แต่ทุกรูปแบบก็มีข้อจำกัด เช่น in-ear และ earbud ก็มีก้านที่เกะกะ และสร้างปัญหาอย่างมากในยุคที่คนต้องสวมใส่หน้ากาก หรือ open-ear ก็มักจะมีคุณภาพเสียงที่ไม่ดีนัก นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่เกิดการคิดค้นพัฒนาหูฟังที่กลมกลืนกับการใช้ชีวิตอย่าง HUAWEI FreeClip

หากมองในแง่แฟชั่นแล้ว HUAWEI FreeClip ก็เป็นหูฟังที่เด่นและมีสไตล์มาก และถ้ามองในแง่ฟังก์ชั่นการใช้งานจริงก็ถือว่าทำได้ดีเหลือเชื่อ เริ่มจากการสวมใส่ที่ใช้วิธีหนีบเข้ากับใบหู โดยแรงหนีบไม่ทำให้เรารู้สึกเจ็บหรืออึดอัด และยังกระชับแบบสะบัดหัวก็ไม่หลุด ในระดับที่เอาไปวิ่งออกกำลังกายได้สบายๆ

เราสามารถใส่สลับด้านซ้ายขวาได้ และตัวหูฟังจะทำการตรวจจับสลับเสียงให้เอง ในลักษณะคล้ายกับ HUAWEI Watch Buds นั่นเอง โดยรูปแบบการควบคุมจะใช้การแตะที่ตัวหูฟังตำแหน่งใดก็ได้ และเพื่อป้องกันการบังเอิญไปโดนแล้วสั่งการโดยไม่ตั้งใจ ทำให้หูฟังรุ่นนี้รองรับการสั่งงานเฉพาะการเตะ 2 ครั้งและ 3 ครั้งเท่านั้น ซึ่งเราสามารถตั้งได้ว่าจะให้เป็นคำสั่งอะไรเช่น Play/Pause, Voice Assistant, Next, Previous

ยกระดับคุณภาพเสียงหูฟัง open-ear

สิ่งที่ผมประทับใจมากก็คือผมเฟ้นหาหูฟังแบบ open-ear คุณภาพดีมาหลายปี แต่ไม่เจอที่ถูกใจสักที เพราะส่วนใหญ่ใช้งานไม่สะดวก หรือไม่ก็เสียงไม่ดีเท่าที่พอใจ แต่ HUAWEI FreeClip เปลี่ยนภาพจำหูฟัง open-ear ของผมไปหมดเลย เพราะคุณภาพเสียงอยู่ในระดับหัวแถวของ TWS เลย หากเทียบแบบจับผิดก็ต้องบอกว่าเสียงใกล้เคียงแต่ยังไม่เท่า HUAWEI FreeBuds Pro 3 แต่แลกมาด้วยความสะดวกในอีกรูปแบบ

หูฟัง open-ear หลายรุ่นจะมีปัญหาเรื่องเสียงเล็ดลอด ซึ่งไม่เป็นส่วนตัวและยังรบกวนคนรอบข้างอีกด้วย แต่ HUAWEI FreeClip พยายามเอาจุดกำเนิดเสียงไปไว้ใกล้รูหูที่สุด ทำให้เราได้ยินเสียงที่ดังเพียงพอในขณะที่เสียงรบกวนคนรอบข้างน้อยมาก ในระดับที่ไม่ได้ยินเลย หรือได้ยินแว่วๆ แต่ฟังไม่ออก

ด้วยรูปแบบ open-ear จึงไม่มีระบบตัดเสียงรบกวนจากภายนอก แต่ในกรณีโทรหรือสนทนา ก็จะมีระบบตัดเสียงรบกวนเพื่อให้ปลายทางได้ยินเสียงที่ชัดเจน

การเชื่อมต่อหลายเครื่องที่สะดวกกว่า

ผมเชียร์เรื่องนี้เสมอสำหรับคนที่มีหลายอุปกรณ์ เช่นมีมือถือ 2 เครื่อง หรือมือถือ 2 แท็บเล็ต 1 เพราะหัวเว่ยมีระบบสลับเครื่องได้ง่ายที่สุดแล้ว แม้หูฟังหลายรุ่นจะบอกว่ามีระบบรองรับการเชื่อมต่อหลายเครื่องพร้อมกัน แต่ปัญหาจากการใช้จริงก็คือบางคร้ังมันไปเชื่อมกับเครื่องที่เราไม่ได้ใช้ เราก็ต้องไปกดตัดบลูทูธเครื่องนั้นก่อน แล้วถึงมากดเชื่อมกับเครื่องที่จะใช้ ในขณะที่ HUAWEI FreeClip กดเลือกเครื่องที่ต้องการผ่านแอป HUAWEI AI Life ได้เลย ถ้าคุณมีมือถือหลายเครื่อง หรือเชื่อมต่อหลายอุปกรณ์ บอกเลยว่าหูฟังหัวเว่ยเหมาะกับคุณที่สุดแล้ว

เป็นมิตรกับสุขภาพหู

จากที่ผมเคยผ่าตัดหู บวกกับหมอเริ่มออกมาเตือนถึงการใส่หูฟังแบบ in-ear เป็นระยะเวลานานๆ ส่งผลเสียต่อการได้ยิน ทำให้ผมยิ่งชอบหูฟังรุ่นนี้ แม้ว่าหูฟังแบบ in-ear จะได้รับความนิยมด้วยคุณสมบัติเด่นหลายอย่าง เช่น การตัดเสียงรบกวน และคุณภาพเสียงที่ดีมากๆ แต่เพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อการได้ยิน เพราะมีความดันภายในหูเยอะกว่าปรกติ ทำให้เซลล์ประสาทหูทำงานหนัก ส่งผลให้สูญเสียการได้ยินก่อนวัยอันควร ดังนั้นถ้าคิดว่าต้องใส่หูฟังเป็นระยะเวลานานๆ และอยากลดปัจจัยเสี่ยง การเลือก HUAWEI FreeClip ก็น่าสนใจมากครับ

หูฟังที่กลมกลืนกับการใช้ชีวิต

HUAWEI FreeClip เป็นหูฟังที่ออกแบบมาเพื่อชีวิตโดยแท้ เพราะเราสามารถใส่ได้ทั้งวันโดยไม่ปวดรูหู และยังสามารถสนทนากับคนรอบข้างได้ เวลาเดินข้ามถนนก็ได้ยินเสียงรถ เวลาใส่ออกกำลังกายก็ไม่อึดอัดแน่นรูหูเหมือนพวก in-ear

ในยุคที่ทุกคนพูดถึง AI และคนก็นิยมใช้ระบบสั่งงานด้วยเสียงมากขึ้น HUAWEI FreeClip ที่เราสวมใส่ได้ทั้งวัน จึงเป็นการเติมเต็มชีวิตยุคใหม่ได้อย่างลงตัว เราสามารถสวมใส่ได้โดยไม่มีปัญหากับคนใส่แว่น รวมถึงการใส่หน้ากาก

หลังจากผมได้ HUAWEI FreeClip ผมก็ใส่แทบทั้งวัน โดยระหว่างทำงานก็เปิดเพลงฟังจากโน้ตบุ๊ค ด้วยคุณภาพเสียงที่ฟังได้เรื่อยๆ ไม่ขัดใจ เวลาที่มีสายเข้าก็กดรับสายได้ทันทีจากมือถือ ซึ่งตรงนี้ต้องขอบคุณระบบเชื่อมต่อหลายเครื่องที่ทำงานได้อย่างแนบเนียน เวลาที่มีคนเดินมาคุยด้วย ผมก็ไม่ต้องถอดหูฟังออก ก็แค่แตะ 2 ครั้งเพื่อหยุดเพลงก็พร้อมสนทนากับคนรอบข้างแล้ว

การแตะเพื่อเรียกใช้งานระบบสั่งงานด้วยเสียงก็สะดวก รวมไปถึงการทำ Dictation แปลงเสียงพูดเป็นการพิมพ์ข้อความก็ง่าย เราไม่ต้องหยิบมือถือมาใกล้ปาก แค่พูดตามปรกติก็ได้ข้อความพร้อมใช้งานแล้ว

บทสรุป

นี่คือหูฟังที่ผมอยากใช้คำว่า Highly recommended มันคือ Life companion มันคือคู่ชีวิต คุณสามารถใส่ได้ทั้งวันพร้อมกับทำกิจกรรมอื่นๆ ในชีวิตได้ปรกติ และสะดวกเวลาที่มีคนโทรเข้า หรือเราต้องการสั่งงานด้วยเสียง ด้านการดูหนังฟังเพลงก็ได้คุณภาพที่ดีมากเมื่อเทียบกับ open-ear ด้วยกัน และยังสลับการเชื่อมต่อหลายเครื่องได้ง่ายด้วย เทียบกับราคา 6,490 บาทแล้วคุ้มมาก