รีวิว HOLLYLAND LARK M2 ไมค์ไร้สายที่เล็กและดี

ที่ผ่านมาหลายคนพบปัญหาการติดตั้งไมค์ไร้สายเข้ากับผู้ดำเนินรายการ ถ้าเป็นรุ่นระดับมืออาชีพก็มีขนาดใหญ่ ต้องเอาตัวส่งสัญญาณไว้ที่กางเกงและลากสายไมค์ลอดเสื้อมาเหน็บปก ถ้าเป็นตัวเล็กลงมาหน่อยก็ยังคงใหญ่เกินไปสำหรับหนีบตามเสื้อ ทำให้เสื้อย่นบ้างพับบ้าง ซึ่ง HOLLYLAND LARK M2 จะทำให้ปัญหานี้หมดไป ด้วยน้ำหนักเพียง 9 กรัมที่มีขนาดเล็กกว่าเหรียญ 10 บาท พร้อมกับชุดติดตั้งและแม่เหล็ก จะติดคอเสื้อก็ง่ายไม่เกะกะ และไม่แย่งซีน หรือจะติดเข้ากับสร้อยคอในกล่องก็ได้เหมือนกัน

LARK M2 กับรุ่นย่อยที่วางขาย

LARK M2 มีทั้งหมด 4 รุ่นย่อย โดยจุดต่างหลักคือตัวรับสัญญาณ ซึ่งรุ่น Combo จะมีให้ทั้ง ตัวรับสัญญาณสำหรับกล้อง, ตัวรับสัญญาณสำหรับอุปกรณ์ USB-C, ตัวรับสัญญาณสำหรับอุปกรณ์ Lightning โดยชุดเริ่มต้นอยู่ที่ 4,990 บาท และชุด Combo จัดเต็มมีราคา 5,990 บาท ด้วยราคาที่ต่างกันเพียง 1,000 บาท ผมแนะนำว่าควรซื้อแบบ Combo ให้จบๆ เลยดีกว่าครับ

LARK M2

99 .00 บาท

หรือถ้าอยากประหยัดงบ จะซื้อเป็นรุ่น USB-C ตัวเดียวก็น่าสนใจครับ เพราะเราสามารถเอามาต่อเข้ากับโน้ตบุ๊คสำหรับการไลฟ์หรือวีดีโอคอล หรือจะต่อเข้ากับพวก Actioncam แม้แต่ DJI OSMO Pocket 3 ก็ใช้ร่วมกับ LARK M2 เหมือนกัน

การตั้งค่าเสียง

ด้วยการออกแบบที่เน้นจุดขายขนาดเล็ก ทำให้ไม่มีหน้าจอแสดงผลในตัว รวมถึงปุ่มปรับระดับเสียงที่ตัวไมค์ ดังนั้นถ้าใช้ร่วมกับตัวรับสัญญาณที่เป็น USB-C และ Lightning จะต้องโหลดแอป LarkSound มาปรับระดับเสียง

ซึ่งแอปเวอร์ชั่นปัจจุบัน ณ วันที่ทำการรีวิว ฝั่ง iOS จะแบ่งระดับเสียงเป็น 3 ระดับ ส่วน Android จะแบ่งเป็น 6 ระดับ ซึ่งผมเป็นคนพูดเสียงดังและชอบติดไมค์ไว้บริเวณปกเสื้อ เลยตั้งความดังไว้ในระดับต่ำๆ

แต่ถ้าเป็นตัวรับสัญญาณสำหรับกล้อง จะสามารถหมุนปรับที่ตัวรับสัญญาณได้ 3 ระดับ และรุ่นตัวรับสำหรับกล้องจะมีความพิเศษเพิ่มขึ้นมา คือเราสามารถเลือกสลับโหมดระหว่างโมโนและสเตอริโอได้ด้วยปุ่มด้านข้าง ซึ่งสีน้ำเงินคือสเตอริโอ และสีเขียวคือโมโน

ที่ตัวไมค์มีปุ่มควบคุมเพียง 1 ปุ่ม แต่ทำได้ 2 หน้าที่คือ

  • กด 1 ครั้ง เพื่อเปิด-ปิด ระบบตัดเสียงรบกวน Environmental Noise Cancellation (ENC)
  • กด 2 ครั้ง เพื่อลั่นชัตเตอร์เริ่มบันทึกวีดีโอ สำหรับการเชื่อมต่อกับมือถือ

ขนาดเล็ก แต่เต็มไปด้วยคุณภาพ

แม้จะมีน้ำหนักเบาแค่ 9 กรัมเท่านั้น แต่ LARK M2 กลับให้คุณภาพเสียงถึง 48kHz/24bit ไม่แพ้ไมค์ไร้สายรุ่นอื่นเลย และยังมีความแรงของสัญญาณที่ไกลสูงสุด 300 เมตร

การเชื่อมต่อก็ทำได้ง่าย ถ้าต่อเข้ากับมือถือก็เป็นแบบ Plug and Play คือเสียบแล้วใช้งานได้ทันที ไม่ต้องตั้งค่าเพิ่ม แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือรองรับการ Playback Without Unplugging ก็คือสามารถกดฟังเสียงจากคลิปที่บันทึกได้ทันที โดยไม่ต้องถอดตัวรับสัญญาณออกจากมือถือเหมือนไมค์รุ่นอื่นๆ

อุปกรณ์ในกล่องมีให้ครบถ้วนแบบไม่ต้องหาเพิ่ม ทั้งสายชาร์จ, ถุงผ้า, ตัวกันลม, รวมไปถึงสติกเกอร์สวยๆ สำหรับแปะที่ตัวไมค์ นอกจากจะเพิ่มความน่ารักเป็นมิตรแล้ว ยังทำให้เราจดจำไมค์ตัวที่ 1 และ 2 ได้ง่ายขึ้นด้วย และที่สำคัญคือมี Mounting ให้เลือกใช้ถึง 3 แบบ

  • แบบแม่เหล็ก เหมาะสำหรับติดตัวไมค์เข้ากับเสียง
  • แบบแม่เหล็กหนีบ เหมาะสำหรับการหนีบเข้ากับปกหรือขอบเสื้อ หรือหนีบเข้ากับหมวกแก๊ปและแขนเสื้อ
  • แบบสร้อยคอ เหมาะสำหรับความคล่องตัว และเพิ่มความเป็นแฟชั่น

แบตเตอรี่อึดถึกทนสูงสุด 40 ชั่วโมง

แม้ตัวไมค์จะมีขนาดเล็กกว่าเหรียญบาท แต่มีแบตเตอรี่ในตัวที่ใช้ต่อเนื่องได้สูงสุด 10 ชั่วโมง แต่ถ้าเปิดใช้ระบบตัดเสียงรบกวน ENC ก็จะมีเวลาใช้งานลดหลั่นลงมา และที่ตัวกล่องชาร์จสำหรับรุ่น Camera version จะชาร์จและใช้งานได้ 40 ชั่วโมง ส่วนรุ่น Mobile version จะชาร์จและใช้งานได้ 30 ชั่วโมง

LARK M2 เหมาะกับใคร?

ไมค์ไร้สายรุ่นนี้เหมาะกับคนทำคอนเทนต์ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นไปจนถึงการถ่ายงานจริงจัง ไม่ว่าจะเป็น TikToker, YouTuber หรือแม้แต่นักข่าว และคนทำงานผ่านหน้าคอมที่ต้องการไมค์ไร้สายที่ไม่เกะกะ ซึ่งการออกแบบที่มีขนาดเล็กทำให้กลมกลืนไปกับการแต่งตัวของเรา และยังมีตัวเลือก Mounting ที่หลากหลาย ทำให้ประยุกต์ใช้กับสาย Adventure ก็ยังได้

การเชื่อมต่อก็รองรับทุกอุปกรณ์ ตั้งแต่กล้องที่ต่อผ่านสาย 3.5 มม., กล้องที่ต่อผ่าน USB-C, โน้ตบุ๊ค, มือถือ Android, iPhone และ iPad รุ่นเก่าที่ยังเป็น Lightning แม้รุ่นนี้จะไม่มีระบบบันทึกเสียงในตัว จุดเด่นอื่นๆ ก็ทำให้รุ่นนี้น่าสนใจเหมือนเดิม ยิ่งเมื่อเทียบกับราคาชุด Combo ที่ 5,990 บาท กับคุณสมบัติขนาดนี้ ถือว่าคุ้มมากครับ