เมื่อคืน Google ได้เปิดตัว Android P Beta ในงาน Google I/O 2018 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่ออกมาตอนครบรอบ 10 ปี Android ด้วย โดยในเวอร์ชั่นนี้จะนำ AI และ Machine Learning เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานมากขึ้น มาดูกันว่ามีอะไรมาใหม่ใน Android P บ้าง
Adaptive Battery
ฟีเจอร์เพิ่มความอึดให้แบตเตอรี่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานรักและหวงแหนมากที่สุด โดยฟีเจอร์นี้จะใช้ AI ติดตามการใช้งานมือถือของเรา และแยกแอปที่ใช้ประจำกับแอปที่ไม่ค่อยได้ใช้งานออกจากกัน จากนั้นจะทำการจำกัดการใช้พลังงานของแอปที่ไม่ค่อยได้ใช้เพื่อประหยัดพลังงาน ซึ่งทำให้ลดอัตราการปลุก CPU ขึ้นมาทำงานระหว่างปิดหน้าจอได้ถึง 30% เลยทีเดียว
Adaptive Brightness
จากเดิมที่การปรับความสว่างหน้าจอจะเป็นการปรับตามสภาพแสงที่ตั้งมาจากโรงงาน ส่วนใน Android P จะมีการเรียนรู้จากการใช้งานของเราด้วยว่าปกติเราไปที่ไหน เวลาอะไร และปรับความสว่างไว้ที่เท่าไหร่ จากนั้นเครื่องจะสร้างแพทเทิร์นการปรับความสว่างหน้าจอเฉพาะตัวสำหรับเรา
App Actions
ฟีเจอร์ที่ต่อยอดมาจากฟีเจอร์แอปที่ใช้บ่อยในหน้า App Drawer โดยของใหม่จะเพิ่มการกระทำที่คิดว่าเราจะทำด้วย เช่น แนะนำ Contact ที่คิดว่าเราจะโทรในช่วงเวลานั้น หรือพอเสียบหูฟังก็จะแนะนำให้เราฟังเพลงต่อจากที่ฟังค้างไว้คราวที่แล้ว เป็นต้น โดยผู้พัฒนาเพียงแค่เขียนไฟล์ actions.xml เพิ่มในแอปของตัวเองก็ใช้งานได้
ฟีเจอร์ App Actions ยังใช้งานกับ Google Search ได้ด้วย โดยจะแนะนำการใช้งานแอปให้เข้ากับผลการเสิร์ช เช่นหากเราเสิร์ชเกี่ยวกับ Avengers : Infinity War ก็จะมีการแนะนำให้กดเข้าไปดูตัวอย่างใน YouTube และซื้อตั๋วภาพยนตร์ผ่านแอป Fandango
Slices
เป็นการตัดส่วนหนึ่งของแอปมาให้ใช้ใน Google search เลย เช่น เสิร์ชคำว่า Lyft ซึ่งเป็นบริการเรียกรถแท็กซี่ ก็จะมีส่วนของแอปมาให้เลืิอกสถานที่ที่ไปบ่อย หรือเสิร์ชชื่อสถานที่ ก็จะมีการโชว์รูปตัวอย่างจาก Google Photos ที่เราไปที่นั่น หรือหากเราวางแผนจะไปที่นั่น ก็จะมีรายละเอียดของกำหนดการที่เราใส่ไว้ในปฏิทินมาให้ดู
App Actions และ Slices จะเปิดให้กลุ่ม Early Access ทดลองใช้เดือนหน้า
แถบนำทางแบบใหม่
Android P ได้เปลี่ยนแถบนำทาง 3 ปุ่มที่เราคุ้นเคยเป็นแบบใหม่ โดยมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
- ปุ่ม Home เปลี่ยนจากปุ่มกลมๆ เป็นแถบยาวคล้ายเม็ดยา
- ปุ่ม Back จะปรากฎเฉพาะเมื่อใช้งานได้เท่านั้น
- ปุ่ม Recent apps ถูกตัดออก
หน้า Recent apps สามารถเข้าด้วยการสไลด์ปุ่ม Home ขึ้น โดยหน้า Recent เปลี่ยนเป็นวางแอปแนวนอนแทน และมี Dock จากหน้า Home ให้เรียกใช้งานแอปด้วย
เมื่อปาดขึ้นมาอีกครั้งจะเป็นการเข้าหน้า App drawer สามารถเข้าแอปอื่นๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องกลับไปหน้า Home ก่อน
ถ้าปาดขึ้นเพื่อเข้า Recent แล้วสไลด์ซ้ายขวา จะมี Scroll bar ให้ใช้ด้วย
สามารถเลือกข้อความจากแอปต่างๆ ในหน้า Recent ได้เลย
*เพลงที่ใช้โชว์ในเซสชั่นนี้คือเพลง The Way It Was ของคณะ The Killers หรือแปลไทยได้ว่า ทางที่เคยเป็น เป็นการล้อการนำทางแบบใหม่*
ระบบหมุนจอแบบใหม่
หากพบว่ามีการหมุนจอ จะมีไอคอนขึ้นมาที่มุมขวาล่างของจอให้กดหากต้องการหมุนจอ
แถบปรับระดับเสียงแบบใหม่
เปลี่ยนเป็นแนวตั้ง อยู่ที่ขอบจอบริเวณปุ่ม volume แทน และจะเลือกปรับระดับเสียง Media Volume ก่อนเสียง Ringtone
Dashboard จัดการการใช้งาน
สิ่งใหม่ที่ Google หันมาใส่ใจคือสุขภาพผู้ใช้จากการใช้งานโทรศัพท์นานเกินไป โดยจะมีการแสดงเวลาที่ใช้งานแอป รวมถึงฟีเจอร์ที่ใช้งานบ่อย สามารถดูบันทึกย้อนหลังได้ และสามารถจำกัดเวลาการใช้งานได้ เช่น หากเราดูวิดีโอนานเกินไป สามารถตั้งให้มีการแจ้งเตือนได้ว่าเราควรพักจากการใช้งาน
Do Not Disturb แบบใหม่
ฟีเจอร์ห้ามรบกวนแบบใหม่ นอกจากจะปิดเสียงแจ้งเตือนต่างๆ แล้ว ยังสามารถซ่อนแจ้งเตือนได้ด้วย เพื่อที่เราจะได้ไม่คอยไปพะวงกับมัน
Google เพิ่มฟีเจอร์ Shush (เสียงชู่ ที่เป็นสัญชักษณ์บอกให้เงียบ) โดยเมื่อคว่ำหน้าโทรศัพท์ จะเข้าสู่โหมด Do Not Disturb อัตโนมัติ เพื่อที่โทรศัพท์จะไม่มารบกวนเวลาดีๆ ของเรา
แต่บางสายที่เราไม่อยากพลาด เช่น โทรศัพท์จากพ่อ แม่ คู่รักของเรา หรือลูกๆ เราสามารถติดดาว Contact เหล่านั้นเพื่อให้โทรศัพท์ดังเสมอเมื่อเบอร์เหล่านั้นโทรมา
Wind Down
การเล่นโทรศัพท์ก่อนนอนเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้หลับยาก Google เพิ่มฟีเจอร์ Wind Down ที่จะปิดการแจ้งเตือนต่างๆ และปรับจอเป็นสีขาวดำเพื่อให้เราหยุดใช้งานและหลับง่ายขึ้น
Android P Beta พร้อมให้ทดลองใช้งานแล้ววันนี้ และยังได้ใช้ประโยชน์จาก Project Treble โดยร่วมมือกับผู้ผลิตสมาร์ทโฟนหลายเจ้าเพื่อนำ Android P Beta ไปทดลองใช้ก่อนใคร อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและรุ่นที่รองรับได้ที่นี่