วิธีอ่านสเปคมือถือ EP1: หน้าจอ แต่ละค่าหมายความว่าอะไร

หน้าจอโทรศัพท์มือถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของสมาร์ทโฟน การเข้าใจสเปคต่างๆ ของหน้าจอจะช่วยให้การเลือกซื้อมือถือใหม่ได้ตรงตามความต้องการมากขึ้น ในบทความนี้ เราจะช่วยให้คุณเข้าใจสเปคต่างๆ ของหน้าจอและผลกระทบต่อประสบการณ์ของผู้ใช้

1. ขนาดหน้าจอ

ขนาดของหน้าจอบ่งบอกถึงพื้นที่แสดงผลของหน้าจอ วัดจากเส้นแทยงมุมของหน้าจอ มีหน่วยเป็นนิ้ว (“) ยิ่งค่ามาก หมายความว่าจอยิ่งมีขนาดใหญ่ มีพื้นที่แสดงผลมากขึ้น แต่ขนาดตัวเครื่องก็จะใหญ่ตามเช่นกัน

2. ความละเอียด

ความละเอียดของหน้าจอแสดงถึงจำนวนพิกเซลที่อยู่บนหน้าจอ ยิ่งจำนวนมาก หมายถึงภาพและตัวอักษรที่แาดงผลบนหน้าจอจะยิ่งคมชัดมากขึ้น

ความละเอียดจำนวนพิกเซล*
HD+720 x 1600
FHD+1080 x 2400
WQHD+1440 x 2960
QHD+1440 x 3200
2K+1440 x 2560
4K2160 x 3840
*ตัวเลขอาจมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตามอัตราส่วนของหน้าจอ

3. ความหนาแน่นของพิกเซล

ตัวเลขที่บ่งบอกว่าในพื้นที่แสดงผลต่อหนึ่งนิ้วมีจำนวนพิกเซลอยู่เท่าไหร่ ยิ่งตัวเลขมาก ภาพที่แสดงผลจะยิ่งมีความคมชัด ตัวเลขนี้จะช่วยให้เราสามารถเทียบความคมชัดของหน้าจอที่มีขนาดและความละเอียดต่างกันได้ง่ายขึ้น โดยความหนาแน่นพิกเซลของสมาร์ทโฟนควรมีค่าสูงกว่า 300 PPI

4. ชนิดของหน้าจอ

บ่งบอกถึงเทคโนโลยีที่ใช้ทำหน้าจอ โดยหน้าจอที่ใช้ในมือถือปัจจุบันจะมี 2 ชนิดหลักๆ คือ LCD และ OLED

LCD (Liquid Crystal Display)

หน้าจอชนิดนี้ถูกใช้ในสมาร์ทโฟนมาอย่างยาวนาน จอภาพ LCD ประกอบด้วยองค์ประกอบหลายชั้น ได้แก่ ชั้นไฟแบ็คไลท์ ชั้นของกระจกโพลาไรซ์ ชั้นของผลึกเหลว และกระจกโพลาไรซ์อีกชั้นหนึ่ง

การทำงานของหน้าจอชนิดนี้จะใช้ไฟแบ็คไลท์ส่องสว่างผ่านชั้นผลึกเหลว ซึ่งประกอบด้วยเซลล์ขนาดเล็กที่สามารถควบคุมการเปิดและปิดด้วยกระแสไฟฟ้า ด้วยการเลือกเปิดและปิดเซลล์ หน้าจอ LCD สามารถสร้างภาพและสีได้ โดยหนึ่งพิกเซลจะประกอบด้วยเซลล์สีสามสี RGB เพื่อนำมาผสานรวมกันเป็นสีที่ต้องการ

OLED (Organic Light Emitting Diode)

หน้าจอชนิดใหม่ที่ใช้ในสมาร์ทโฟนระดับท็อป และเริ่มกลายเป็นมาตรฐานหน้าจอใหม่ในปัจจุบัน หน้าจอ OLED ประกอบด้วยชั้นบางๆ ของวัสดุอินทรีย์ที่เปล่งแสงเมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน หน้าจอ OLED ไม่ต้องการแสงพื้นหลังเนื่องจากแต่ละพิกเซลจะเปล่งแสงได้เองเอง เมื่อปิดพิกเซล พิกเซลจะไม่เปล่งแสง ทำให้ได้สีดำจริง เมื่อเปิดใช้พิกเซล พิกเซลจะเปล่งแสง ทำให้ได้สีที่สว่างสดใส อีกจุดเด่นของหน้าจอชนิดนี้คือความยืดหยุ่น จึงสามารถทำหน้าจอที่สามารถโค้งงอและพับได้

จุดแตกต่างระหว่าง OLED และ LCD

OLEDLCD
Backlightไม่ใช้ใช้
Contrast Ratioสูง (สามารถแสดงสีดำจริงได้)จำกัด (ไม่สามารถแสดงสีดำจริงได้)
ความเร็วในการตอบสนองเร็วช้ากว่า OLED
การใช้พลังงานใช้พลังงานสูงเมื่อแสดงผลสีขาว แต่ใช้พลังงานต่ำเมื่อแสดงผลสีดำใช้พลังงานเท่ากันทุกสีสัน
ความหนาบางและยืดหยุ่นหนาและไม่ยืดหยุ่น
มุมมองภาพมุมมองภาพกว้างมุมมองภาพแคบกว่า OLED
การเบิร์นอินอาจเบิร์นอินเมื่อแสดงผลภาพนิ่งๆ เป็นเวลานานไม่มีปํญหาเบิร์นอิน
ราคาสูงกว่า LCFต่ำกว่า OLED

AMOLED

AMOLED เป็นชื่อเครื่องหมายการค้าหน้าจอ OLED ที่ผลิตโดย Samsung ซึ่งมีชื่อเรียกรุ่นแยกย่อยอีกมากมาย เช่น sAMOLED, Fluid AMOLED, Dynamic AMOLED ซึ่งแต่ละชื่อก็อาจจะมีจุดเด่นที่ต่างกันไป

Retina Display

เป็นชื่อเครื่องหมายการค้าหน้าจอของ Apple ที่มีความหนาแน่นพิกเซลสูง

LTPO (Low-Temperature Polycrystalline Oxide)

เป็นชื่อเทคโนโลยีในการผลิตหน้าจอ OLED ที่มีจุดเด่นเรื่องประหยัดพลังงานและสามารถปรับรีเฟรชเรทของหน้าจอได้

5. รีเฟรชเรท

การทำงานของหน้าจอที่เราเห็นเป้นภาพเคลื่อนไหว ที่จริงแล้วเป็นการแสดงภาพนิ่งต่อๆ กันด้วยความเร็วสูง ค่านี้เป็นค่าที่เอาไว้บอกว่าในหนึ่งวินาทีสามารถแสดงผลภาพนิ่งได้กี่ภาพ ยิ่งค่าสูง จะสามารถแสดงผลภาพเคลื่อนไหวได้ลื่นไหลมากขึ้น โดยค่ารีเฟรชเรทมาตรฐานจะอยู่ที่ 60Hz ส่วนหน้าจอในรุ่นสูงๆ จะสามารถแสดงผลรีเฟรชเรทได้สูงถึง 120Hz โดยต้องแลกมากับการใช้พลังงานที่มากขึ้น ทำให้ในปัจจุบันมีหน้าจอที่สามารถปรับค่ารีเฟรชเรทอัตโนมัติตามการแสดงผลเพื่อลดการใช้พลังงาน

6. Contrast Ratio

เป็นค่าความต่างที่จอสามารถแสดงผลได้จากมืดสุดไปสว่างสุด โดยทั่วไปอัตราส่วนคอนทราสต์ของหน้าจอสมาร์ทโฟนจะแสดงเป็นอัตราส่วนของความสว่างของสีขาวที่สว่างที่สุดต่อความสว่างของสีดำที่มืดที่สุด ตัวอย่างเช่น อัตราส่วนคอนทราสต์ 1,000:1 หมายความว่าสีขาวที่สว่างที่สุดบนหน้าจอสว่างกว่าสีดำที่มืดที่สุด 1,000 เท่า

อัตราส่วนคอนทราสต์มาตรฐานของหน้าจอสมาร์ทโฟนอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับผู้ผลิตและรุ่น แต่โดยทั่วไปอัตราส่วนคอนทราสต์ที่ดีสำหรับหน้าจอสมาร์ทโฟนจะอยู่ที่ประมาณ 1000:1

7. Bit Depth

หมายถึงจำนวนของสีที่แตกต่างกันที่จอแสดงผลสามารถผลิตได้ ในหน้าจอสมาร์ทโฟน ความลึกของสีมักจะวัดเป็นบิตต่อพิกเซล (bpp) ยิ่งตัวเลขมากหมายความว่าสามารถแสดงสีได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น

  • ความลึกของสี 8 บิตสามารถแสดงสีได้มากถึง 16.7 ล้านสี
  • ความลึกของสี 10 บิตสามารถแสดงสีได้มากถึง 1.07 พันล้านสี
  • ความลึกของสี 12 บิตสามารถแสดงสีได้มากถึง 68 พันล้านสี
  • ความลึกของสี 14 บิตสามารถแสดงสีได้มากถึง 4 ล้านล้านสี

สีเพิ่มเติมที่เกิดจากความลึกของสีที่สูงขึ้นสามารถทำให้ภาพและวิดีโอดูสมจริงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีความแตกต่างของสีเล็กน้อย เช่น โทนสีผิวหรือเงา

8. Color Space

คือช่วงสีที่หน้าจอสามารถแสดงได้ ซึ่งจะส่งผลต่อความถูกต้องและความสดของสีที่แสดง Color Space ที่ใช้บ่อยที่สุดในหน้าจอสมาร์ทโฟนคือ sRGB และ DCI-P3 sRGB เป็นพื้นที่สีมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการถ่ายภาพดิจิทัล และได้รับการออกแบบมาให้เข้ากันได้กับจอแสดงผล เครื่องพิมพ์ และเว็บเบราว์เซอร์ส่วนใหญ่

จอแสดงผลที่รองรับ sRGB สามารถสร้างสีได้อย่างแม่นยำภายในปริภูมิสี sRGB ซึ่งครอบคลุมประมาณ 35% ของสเปกตรัมสีที่มองเห็นได้ DCI-P3 เป็นพื้นที่สีที่พัฒนาขึ้นสำหรับอุตสาหกรรมภาพยนตร์และครอบคลุมช่วงสีที่กว้างกว่า sRGB จอแสดงผลที่รองรับ DCI-P3 สามารถสร้างสีได้มากขึ้นและสามารถแสดงภาพที่สดใสและแม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในภาพยนตร์และวิดีโอ DCI-P3 ครอบคลุมประมาณ 53% ของสเปกตรัมสีที่มองเห็นได้ และมักใช้ในจอแสดงผลระดับไฮเอนด์

9. HDR10+, Dolby Vision

HDR10+ และ Dolby Vision เป็นเทคโนโลยี HDR ที่ออกแบบมาเพื่อปรับปรุงสี คอนทราสต์ และความสว่างของเนื้อหาวิดีโอ

HDR10+ เป็นมาตรฐานแบบเปิดที่พัฒนาโดย Samsung ร่วมกับ Amazon และใช้ข้อมูลเมตาแบบไดนามิกเพื่อปรับการตั้งค่า HDR แบบทีละฉากหรือแบบเฟรมต่อเฟรม HDR10+ ไม่มีค่าลิขสิทธิ์และได้รับการสนับสนุนโดยผู้ผลิตทีวีและบริการสตรีมต่างๆ เช่น Samsung, Amazon Prime Video และ Google Play Movies

Dolby Vision เป็นเทคโนโลยี HDR ที่เป็นกรรมสิทธิ์ซึ่งพัฒนาโดย Dolby Laboratories มันใช้ข้อมูลเมตาแบบไดนามิกเช่นกัน แต่ก็ยังมีความสามารถในการปรับการตั้งค่า HDR ในแต่ละพิกเซล ซึ่งช่วยให้เนื้อหา HDR มีความแม่นยำยิ่งขึ้น Dolby Vision ยังรองรับขอบเขตสีและระดับความสว่างที่หลากหลายกว่า HDR10+ ซึ่งช่วยให้ได้ภาพที่สดใสและเหมือนจริงมากขึ้น Dolby Vision ได้รับการสนับสนุนโดยผู้ผลิตทีวีและบริการสตรีมต่างๆ เช่น LG, Sony, Netflix และ Disney+

10. Touch sampling

เมื่อคุณสัมผัสหน้าจอสมาร์ทโฟนของคุณ เซ็นเซอร์รับการสัมผัสของหน้าจอจะตรวจจับตำแหน่งที่คุณสัมผัสและส่งข้อมูลนี้ไปยังหน่วยประมวลผลของโทรศัพท์ ซึ่งจะแปลการสัมผัสเป็นการกระทำ เช่น การเลื่อนหรือแตะที่ไอคอน อัตราที่เซ็นเซอร์หน้าจอสัมผัสตรวจจับและรายงานข้อมูลนี้เรียกว่า Touch sampling ซึ่งโดยทั่วไปจะวัดเป็นเฮิรตซ์ (Hz)

Touch sampling ที่สูงขึ้นหมายความว่าเซ็นเซอร์สามารถตรวจจับและรายงานการสัมผัสได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลให้ประสบการณ์การสัมผัสราบรื่นและตอบสนองได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น หากสมาร์ทโฟนของคุณมีอัตรา Touch sampling ที่ 120Hz หมายความว่าเซ็นเซอร์หน้าจอกำลังตรวจจับและรายงานอินพุตการสัมผัส 120 ครั้งต่อวินาที

สมาร์ทโฟนสมัยใหม่หลายรุ่นมีอัตรา Touch sampling ที่ 120Hz หรือสูงกว่า ซึ่งสามารถช่วยลดความล่าช้าของอินพุตและปรับปรุงประสบการณ์การสัมผัสโดยรวม สมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์บางรุ่นมีอัตราการสุ่มตัวอย่างการสัมผัสสูงถึง 240Hz หรือ 360Hz ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับเกมเมอร์หรือใครก็ตามที่ต้องการประสบการณ์การสัมผัสที่ตอบสนองได้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

11. ความสว่าง

หมายถึงปริมาณแสงที่หน้าจอปล่อยออกมา ปกติจะวัดเป็นหน่วยของ nits

Typical Brightness

หมายถึงความสว่างสูงสุดที่จอแสดงผลสามารถทำได้ภายใต้สภาวะการทำงานปกติ โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 300 ถึง 500 nits ซึ่งสว่างเพียงพอสำหรับการใช้งานในร่มที่สะดวกสบายในสภาพแสงส่วนใหญ่

Global Brightness

หมายถึงระดับความสว่างที่ใช้อย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งหน้าจอ โดยไม่คำนึงถึงเนื้อหาที่แสดงอยู่ นี่คือระดับความสว่างมาตรฐานที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะเห็นเมื่อใช้สมาร์ทโฟน

HBM (High Brightness Mode)

เป็นคุณสมบัติที่พบในสมาร์ทโฟนบางรุ่น ซึ่งช่วยให้หน้าจอเพิ่มระดับความสว่างได้ชั่วคราวเพื่อให้ดูได้ง่ายขึ้นในสภาพแวดล้อมกลางแจ้งที่มีแสงจ้า โดยปกติแล้ว HBM จะเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติเมื่อเซ็นเซอร์วัดแสงของโทรศัพท์ตรวจพบแสงโดยรอบในระดับสูง

Peak Brightness

ค่านี้จะเป็นค่าที่บอกความสว่างสูงสุดที่หน้าจอสามารถทำได้ ซึ่งอาจจะสว่างสูงได้ถึง 1,500 nits เลยทีเดียว ซึ่งจะใช้งานเมื่อหน้าจอต้องการแสดงผลแบบ HDR เพื่อให้แสดงสีสันและคอนทราสต์ได้มากที่สุด

12. PWM Dimming

Pulse Width Modulation (PWM) เป็นเทคนิคที่ใช้ในการปรับความสว่างของหน้าจอโดยการเปิดและปิดจออย่างรวดเร็วด้วยความถี่สูง

PWM Dimming มักใช้ในหน้าจอสมาร์ทโฟน เนื่องจากช่วยให้ควบคุมความสว่างได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม บางคนอาจปวดตาหรือปวดศีรษะเมื่อดูหน้าจอที่ใช้การหรี่แสง PWM ที่ความถี่ต่ำ

JNCD และ Delta E

JNCD ย่อมาจาก Just Noticeable Color Difference และหมายถึงความแตกต่างของสีที่น้อยที่สุดที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้ JNCD เท่ากับ 1 หมายความว่าความแตกต่างของสีนั้นน้อยที่สุดที่มนุษย์จะสังเกตุเห็นด้วยตาเปล่าได้ ค่า JNCD ที่ 2 หรือต่ำกว่าถือว่าดี ในขณะที่ค่าที่ 3 หรือสูงกว่าอาจส่งผลให้เกิดข้อผิดพลาดของสีที่มองเห็นได้ซึ่งอาจรู้สึกรบกสนสายตา

Delta E คือการวัดความแตกต่างระหว่างสีสองสี โดยทั่วไปคือสีที่ผลิตโดยจอภาพและสีที่ตั้งใจผลิต Delta E คำนวณจากความแตกต่างระหว่างค่าพื้นที่สี Lab* ของสองสี พื้นที่สี Lab* คือโมเดลสีสามมิติที่แสดงสีตามความสว่างที่รับรู้ได้ (L*) แกนสีแดง-เขียว (a*) และแกนสีน้ำเงิน-เหลือง (b*) ค่า Delta E เท่ากับ 1 หรือน้อยกว่านั้นถือว่ามีความแม่นยำของสีที่ดีเยี่ยม ในขณะที่ค่า 2 หรือน้อยกว่านั้นถือว่าดี

ทั้ง JNCD และ Delta E เป็นตัวเลขที่มีประโยชน์สำหรับการประเมินความถูกต้องของสีของหน้าจอ โดย JNCD ให้ความสำคัญกับความสามารถของดวงตามนุษย์ในการรับรู้ความแตกต่างของสี ในขณะที่ Delta E เป็นการวัดทางเทคนิคมากกว่า ค่าทั้งสองมักใช้ในอุตสาหกรรมการแสดงผลเพื่อประเมินความถูกต้องของสีและตรวจสอบให้แน่ใจว่าจอภาพสามารถผลิตสีที่แม่นยำและสม่ำเสมอได้

และนี่คือคำศัพท์ที่ควรรู้สำหรับการอ่านสเปคหน้าจอของสมาร์ทโฟนครับ