หลายปีที่ผ่านมา Roborock ทำให้พ่อบ้านแม่บ้านทั้งหลายมีเวลาว่างมากขึ้น และในปี 2023 ก็มาถึงรุ่น Roborock S8 Series โดยเฉพาะ Roborock S8 Pro Ultra ที่เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นถูพื้นอัจฉริยะแบบครบรอบด้าน ทั้งการดูดฝุ่น ถูพื้น และมาพร้อมแท่นชาร์จ RockDockTM Ultra ที่เติมน้ำ ซักผ้าถู ดูดเก็บฝุ่น เป่าลมร้อน และชำระล้างตัวเองอัตโนมัติ นับเป็นเครื่องมือทำความสะอาดที่หลายคนอยากได้มาช่วยดูแลบ้าน
ราคาและโปรโมชั่น
Roborock S8 series มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่
- Roborock S8 ราคาเริ่มต้น 19,999 บาท จากราคาปกติ 50,900 บาท
- Roborock S8+ ราคาเริ่มต้น 27,999 บาท จากราคาปกติ 76,900 บาท
- Roborock S8 Pro Ultra ราคาเริ่มต้น 34,999 บาท จากราคาปกติ 91,900 บาท
Roborock S8 Pro Ultra
จุดต่างหลักของ Roborock S8 Series แต่ละรุ่น
ก่อนจะไปถึงรีวิว Roborock S8 Ultra เรามาเริ่มกันที่จุดต่างของ Roborock S8 Series ทั้ง 3 รุ่นก่อนนะครับ สำหรับคนที่อยากเริ่มใช้หรือมีงบจำกัด Roborock S8 ก็เพียงพอกับการใช้งานระดับเบื้องต้น ทุ่นแรงเราได้เยอะ ในแง่การทำความสะอาดก็ไม่ต่างจากรุ่นพี่มากนัก แต่จุดต่างหลักเลยก็คือ Roborock S8+ มีระบบเก็บฝุ่นเข้าไปยังแท่นชาร์จ ทำให้ใช้งานต่อเนื่องได้นานขึ้นโดยที่เราไม่ต้องทิ้งฝุ่นเองบ่อยๆ แต่ถ้าต้องการความสะดวกขั้นสุดก็เลือก Roborock S8 Pro Ultra ที่สามารถเก็บฝุ่นเข้าถัง ซักผ้าถู ระบบเป่าแห้ง และเติมน้ำสะอาด พร้อมกับทำความสะอาดตัวเองได้ด้วย
Dock: HEPA E12
Dock: HEPA E12
Roborock S8 Pro Ultra ขั้นสุดของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นถูพื้นอัจฉริยะ
Roborock S8 Pro Ultra เป็นตัวทอปในซีรีส์ ทำให้มีเทคโนโลยีทำความสะอาดที่ล้ำสุดในยุค ตั้งแต่ระบบแปรง DuoRoller RiserTM ที่ออกแบบมาให้ลดการพันกันของเส้นผม ซึ่งเป็นปัญหากวนใจของผู้ใช้ทุกคนมาตลอด และยังสามารถยกแปรงขึ้นเพื่อเลี่ยงการสัมผัสน้ำหรือพื้นที่เปียกโดยตรง

มาพร้อมพลัง HyperForceTM ที่มีแรงดูด 6,000 Pa จัดการฝุ่นได้ทั้งพื้นทั่วไปและบนพรมที่ต้องใช้แรงดูดเยอะกว่าปรกติ และยังมีระบบ VibraRiseTM 2.0 Mopping ขัดถูพื้น 2 จุด ด้วยแรงสั่นสะเทือน 3,000 ครั้ง/นาที เพิ่มประสิทธิภาพการทำความสะอาด โดยพัฒนาอิงจากการขัดถูของมนุษย์ที่ใช้แรงกดและออกแรงขัดให้พื้นสะอาด ทำให้ขจัดคราบได้ดีกว่าระบบถูพื้นทั่วไปที่ไม่มีการออกแรงขัด

ในบางจุดที่เราไม่ต้องการให้โดนน้ำ Roborock S8 Pro Ultra ก็สามารถยกระบบถูพื้นขึ้นเพื่อดูดฝุ่นอย่างเดียวได้ด้วย และในกรณีที่ตรวจพบพรมก็จะทำการยกชุดถูพื้นขึ้น เพื่อป้องการความชื้น และเพิ่มแรงดูดอัตโนมัติ ด้วยระบบ Roborock Carpet Boost+ นอกจากนี้ยังสามารถยกชุดถูขึ้นหลบได้ 5 มม. เมื่อเจอสิ่งกีดขวาง

ด้านระบบตรวจจับและการนำทาง ใช้การประมวลผลร่วมกันระหว่าง Reactive 3D เพื่อวิเคราะห์วัตถุแบบ 3 มิติ และ PreciSenseTM LiDAR Navigation ที่ใช้ในระบบยานยนต์ไร้คนขับ ซึ่ง Roborock เป็นรายแรกที่นำระบบนี้มาใช้กับหุ่นยนต์ทำความสะอาด นอกจากนี้ยังมีระบบทำแผนที่อย่างรวดเร็ว เพื่อให้เริ่มทำความสะอาดครั้งแรกได้เร็วขึ้นถึง 6 เท่า โดยใช้เวลาประมาณ 8 นาที ในการทำแผนที่ 100 ตร.ม.
แท่นชาร์จ RockDock Ultra ผู้ดูแลหุ่นยนต์
แท่นชาร์จ RockDockTM Ultra เป็นส่วนเติมเต็มที่ทำให้ RoboDock S8 Pro Ultra สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ปรกติแล้วเราจะต้องทำการนำฝุ่นออกจาก Roborock S8 Pro Ultra ไปทิ้งเอง ด้วยการเปิดฝาที่ตัวหุ่นยนต์ แต่แท่นชาร์จ RockDockTM Ultra จะช่วยทำหน้าที่นี้แทนเรา โดยนำของเสียออกจากตัวหุ่นไว้ไปที่แท่นชาร์จแทน

RockDockTM Ultra เป็นแท่นชาร์จพร้อมกับเปลี่ยนถ่ายของเสียจากหุ่นยนต์ เพื่อให้หุ่นยนต์ทำงานต่อได้ในรอบถัดไป โดย RockDockTM Ultra แยกถังเป็น 3 ส่วนคือ ถังน้ำสะอาด, ถังน้ำเสีย และถังเก็บฝุ่น ที่เก็บได้โดยไม่ต้องเอาไปทิ้งนานสูงสุด 7 สัปดาห์

การทำความสะอาดตัวเองเป็นไปอย่างอัตโนมัติ เมื่อ Roborock S8 Pro Ultra ทำความสะอาดพื้นเสร็จแล้ว ก็จะกลับสู่แท่นชาร์จ RockDockTM Ultra แบบถอยหลังเข้าเพื่อโหลดขยะออกไปยังแท่นชาร์จ และเมื่อนำน้ำเสียและฝุ่นออกพร้อมกับเติมน้ำสะอาดเข้าไปแทนที่แล้ว หุ่นยนต์ก็จะเคลื่อนที่และหันหัวเข้าแท่นชาร์จ เพื่อชาร์จพลังงานสำหรับการทำความสะอาดรอบถัดไป และยังเป่าลมร้อนเพื่อทำให้ผ้าถู และแท่นชาร์จแห้งหลังจากซักอัตโนมัติ รวมถึงกำจัดกลิ่นด้วย

นอกจากจะทำความสะอาด Roborock S8 Pro Ultra ได้แล้ว ตัว RockDockTM Ultra ก็มีระบบทำความสะอาดตัวเองด้วยเช่นกัน ช่วยยืดอายุการใช้งานและทำให้เราดูแลรักษาแท่นชาร์จได้ง่ายขึ้น
สะดวกกว่าเมื่อใช้งานผ่านแอป
ในการใช้งาน Roborock S8 Pro Ultra ควรเชื่อมต่อแอปเพื่อให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ และเมื่อสำรวจบ้านเราครั้งแรก ก็จะได้แผนที่โดยแยกเป็นแต่ละห้อง เพื่อให้เราเลือกได้ว่าจะทำความสะอาดทั้งชั้นเลย หรือจะเลือกเฉพาะห้อง หรือเฉพาะโซนที่กำหนด

นอกจากนี้ยังเลือกดูแผนที่แบบ 3 มิติได้ เพื่อให้เราเข้าใจว่าหุ่นยนต์มองเห็นวัตถุอะไรบ้าง เช่น รองเท้า, พรม, สิ่งกีดขวาง และ Roborock S8 Pro Ultra สามารถจำแนกได้แม้กระทั่งเครื่องชั่งน้ำหนัก โดยการตรวจจับวัตถุที่แตกต่าง จะทำให้หุ่นยนต์เลือกการทำงานที่เหมาะสมกับพื้นที่นั้นๆ ได้

ด้านการทำความสะอาดก็เลือกได้ว่าจะให้ดูดฝุ่นพร้อมกับถูพื้น หรือเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ และยังเลือกแรงดูดแรงขัดได้ด้วย นอกจากนี้ยังเลือกรูปแบบเส้นทางการการวิ่งได้

การตั้งค่าเชิงลึกก็ทำได้ละเอียด ตั้งแต่ระบบหลบหลีกสิ่งกีดขวางที่วิเคราะห์ได้แบบ Realtime ลดการชนสิ่งของ และยังมีระบบ Pet สำหรับบ้านที่มีสัตว์เลี้ยง ในกรณีที่มีพรมในห้องก็ยังสามารถเลือกรูปแบบการหลบหลีกได้ โดยสามารถปรับได้ 3 โหมดคือ
- โหมด Rise หุ่นยนต์จะยกชุดฟังก์ชั่นถูขึ้นอัตโนมัติเมื่ออยู่บนพื้นพรม
- โหมด Avoid หุ่นยนต์จะหลีกเลี่ยงการเข้าทำความสะอาดพื้นพรม
- โหมด Ignore หุ่นยนต์จะไม่ยกชุดฟังก์ชั่นถูขึ้นอัตโนมัติเมื่ออยู่บนพื้นพรม
นอกจากนี้ยังมีระบบ Carpet Boost ที่เพิ่มแรงดูดบนพรม หรือถ้าบ้านเรามีฝุ่นเยอะ ก็เลือกโหมด Deep Carpet Cleaning ได้เช่นกัน

การตั้งค่า RockDockTM Ultra ก็เลือกได้ตั้งแต่ความถี่ในการซักผ้าถู ว่าจะนับเป็นระยะเวลาหรือซักทุกครั้งที่ทำความสะอาดเสร็จในแต่ละห้องก็ได้ รวมถึงระบบ Auto Emptying ที่ย้ายฝุ่นไปไว้ในแท่นชาร์จอัตโนมัติ และ Auto Drying เพื่อเป่าแห้งลดกลิ่นอับ
Roborock S8 Pro Ultra สามารถตอบสนองด้วยเสียงซึ่งรองรับภาษาไทยด้วย ในกรณีที่บ้านมีเด็กเล็กก็สามารถเปิดใช้งาน Child Lock เพื่อปิดการรับคำสั่งจากปุ่มบนตัวเครื่อง และมีระบบ Off-Peak Charging ที่จะชาร์จเต็มในช่วงเวลาที่กำหนดเท่านั้นเพื่อบริหารค่าไฟฟ้า แบบชาร์จเต็มเฉพาะตอนที่ค่าไฟถูกเท่านั้น

ด้านการควบคุมก็มี Pin n Go ที่เป็นการปักหมุดพิกัดให้หุ่นยนต์พุ่งตรงไปทำความสะอาด ณ จุดนั้น และก็มีรีโมทสำหรับควบคุมทิศทางคล้ายกับรถบังคับ นอกจากนี้ยังมีระบบ No-Go Zone ที่สร้างกำแพงเสมือน ป้องกันไม่ให้ Roborock S8 Pro Ultra เข้าไปในบริเวณนั้น อย่างเช่นโต๊ะทำงานที่มีสายไฟกองบนพื้น หรือโซนของเล่นเด็ก รวมไปถึงการขีดเส้นแบ่งประตูห้องสำหรับคนที่อยู่หอพักหรือคอนโด เพื่อไม่ให้หุ่นยนต์วิ่งออกนอกห้อง
สำหรับคนที่อยู่บ้าน 2 ชั้น หรืออาศัยในทาวน์โฮมหลายชั้น ก็ประหยัดเงินไม่ต้องซื้อหลายเครื่อง เพราะ Roborock S8 Pro Ultra มีระบบ Multi-Level Mapping สามารถเก็บแผนที่ได้สูงสุด 4 แผนที่ เราสามารถยกข้ามชั้นแล้วปล่อยให้ Roborock S8 Pro Ultra ทำความสะอาดได้ โดยไม่ต้องซื้อหุ่นยนต์ไว้แต่ละชั้น …แต่ถ้าต้องการความสะดวกขั้นสุด และงบเพียงพอ จะซื้อไว้ทุกชั้นเลยก็สะดวกดีครับ
ประสบการณ์ใช้งานจริง
ผมได้ลองใช้ Roborock S8 Pro Ultra ในคอนโด โดยลองตั้งให้ทำงานอัตโนมัติทุกอย่าง ขั้นตอนแรกหุ่นยนต์ดูดฝุ่นถูพื้นอัจริยะก็จะทำการสำรวจเพื่อทำแผนที่ห้องก่อน เพื่อให้รู้ว่าต้องทำความสะอาดที่บริเวณไหนบ้าง และสังเกตว่าเวลาที่จะวิ่งเข้าใกล้สิ่งกีดขวาง หุ่นยนต์ก็จะลดความเร็วลงและค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปตามมุมต่างๆ เพื่อสำรวจและทำความรู้จักพื้นที่ ส่วนตัวผมชอบเปิดแอปดูแผนที่แบบ 3D ซึ่งจะเห็นว่า Roborock S8 Pro Ultra จะพยายามจำแนกวัตถุโดยใช้ AI เข้ามาช่วย เพื่อให้ทำความสะอาดแต่ละพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม

ด้วยความอยากรู้ ผมเลยลองวางพรมยับๆ ไว้เพื่อทดสอบ ผลก็คือ Roborock S8 Pro Ultra สามารถเอาตัวรอดได้ ซึ่งถือว่าฉลาดมาก เพราะถ้าเป็นหุ่นยนต์บางรุ่นอาจจะดูดพรมแล้วก็ติดไม่สามารถไปต่อได้ แต่ Roborock S8 Pro Ultra สามารถเดินออกมาได้โดยไม่ค้างบนพรมยับๆ

ความน่าสนใจคือการทำความสะอาดใต้เฟอนิเจอร์ ที่หุ่นยนต์ดูดฝุ่นถูพื้นอัจฉริยะสามารถเข้าไปได้ลึกกว่าการที่เรากวาดห้องเอง หรือถ้าไม่ทันใจก็สามารถควบคุมแบบรีโมท รวมถึงปักพิกัดให้เข้าไปทำความสะอาดได้โดยตรง ซึ่งเหมาะกับกรณีที่เรามีเป้าหมายชัดเจน

หลังจากทำความสะอาดเสร็จ สิ่งที่รู้สึกได้คือพื้นสะอาดขึ้นชัดเจน โดยที่พื้นไม่เปียกชื้นเหมือนการถูบ้านเอง และการจัดการของเสียก็ทำได้ง่ายเพราะ RockDock Ultra แยกของเหลวและฝุ่นผงไว้คนละถัง ทำให้เวลากำจัดของเสียก็ทำได้ง่าย
บทสรุป
ถ้าเทียบกับหุ่นยนต์ทำความสะอาดพื้นด้วยกันแล้ว ผมคิดว่า Roborock S8 Pro Ultra ก็อยู่แถวหน้าของวงการ ทั้งในแง่ความสะอาด ความสะดวก และความสบายใจในด้านบริการหลังการขาย ด้วยการรับประกันสูงสุด 3 ปี ดังนั้นถ้าเทียบกับหุ่นยนต์ในลักษณะเดียวกันก็ตัดสินใจเลือกได้ไม่ยาก
แต่บางคนก็ลังเลว่าจะเลือกหุ่นยนต์แบบ Roborock S8 Pro Ultra หรือจะเลือกแบบ Roborock Dyad Pro ซึ่งผมเองได้ใช้งานทั้ง 2 ตัว และมีความเห็นว่าควรมีทั้ง 2 เครื่อง เพราะมีรูปแบบการใช้งานที่ต่างกัน โดย Roborock S8 Pro Ultra เหมาะกับคนที่ต้องการความอัตโนมัติเต็มรูปแบบ แต่ Roborock Dyad Pro เหมาะกับห้องที่มีสิ่งกีดขวางหรือมีซอกมุมเยอะครับ