ถ้าพูดถึงร้านแกงกะหรี่ที่คนไทยคุ้นชิน ผมเชื่อว่าหลายคนคงนึกถึง CoCo ICHIBANYA และน้อยคนที่จะรู้จัก Camp Curry แต่ปัญหาเกิดตรงที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าแกงกะหรี่ CoCo ICHIBANYA ทำจากเนื้อวัว!!! ( ยกเว้นแกงกะหรี่หมู ที่รู้เพราะเค้าเขียนหมายเหตุเล็กๆ ไว้ในเมนู ) …ซึ่งหลายคนไม่กินเนื้อวัวก็ช็อคตามกันไป จนกระทั่งมีคนแนะนำร้าน Camp Curry ให้รู้จักซึ่งร้านนี้มีสไตล์ที่แตกต่างจาก CoCo ICHIBANYA อย่างสิ้นเชิง แบบที่เรียกว่าเทียบกันไม่ได้เพราะเป็นคนละแนว แต่คำว่า Tokyo’s Best Curry ก็คงยืนยันได้ถึงความอร่อยในแบบฉบับญี่ปุ่นแท้ๆ ได้เป็นอย่างดี
ผมได้สอบถามประวัติความเป็นมาคร่าวๆ ของทางร้าน ก็ได้ข้อมูลว่าเจ้าของ Camp Curry มีแนวคิดอยากพัฒนาแกงกะหรี่ให้มีคุณภาพ เพราะถ้าพูดถึงข้าวแกงกะหรี่ คนก็มักนึกถึงประเทศญี่ปุ่นเลยอยากทำให้คนนึกถึงภาพลักษณ์ดีๆ ไม่ใช่นึกถึงความเป็น Junk Food และความพิถีพิถันนี่เองที่ทำให้ Camp Curry ได้รับความนิยมในญี่ปุ่นจนได้สมญานามว่า Tokyo’s Best Curry ที่มีมากกว่า 30 สาขา
และนับเป็นความโชคดีของคนไทยที่ไม่ต้องบินข้ามประเทศเพราะว่า Camp Curry ได้เปิดสาขาที่สยามพารากอนชั้น 4 ซึ่งเป็นสาขาแรกที่ตั้งอยู่นอกประเทศญี่ปุ่น โดยใช้มาตรฐานเดียวกับที่ญี่ปุ่นทั้งหมด
Camp Curry เป็นร้านที่มีธีมชัดเจนแบบที่มองหน้าร้านก็รู้ทันที เพราะการตกแต่งของที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนการออกแคมป์ เนื่องจากที่ญี่ปุ่นนิยมตั้งแคมป์ในฤดูร้อน และหนึ่งในเมนูยอดนิยมก็คือแกงกะหรี่นั่นเอง
ญี่ปุ่นเป็นชนชาติที่ขึ้นชื่อเรื่องความละเอียดและมีระเบียบสูง ดังนั้น Camp Curry สาขาสยามพารากอน จึงมีการตรวจสอบจากทางญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งภายทุกสิ่งอย่างในร้านรวมถึงเมนูต่างๆ ก็ต้องผ่านเกณฑ์ของญี่ปุ่นทั้งหมด
ด้านวัตถุดิบที่นำมาใช้ก็จะคัดสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดในท้องที่นั้นๆ อย่างเช่นผักที่ใช้ก็มาจากโครงการหลวง หรืออย่าง BBQ Curry ที่เป็นเมนูยอดนิยมก็มีการทดสอบเพื่อหาเนื้อหมูส่วนที่อร่อยที่สุด
เมนูที่นี่มีไม่เยอะแต่ปรุงแบบจานต่อจาน โดยมีน้ำซอสทั้งหมด 6 แบบเพื่อใช้กับแต่ละเมนูได้แก่
- ซอสแกงกะหรี่ผัก เบสซอสไก่ เผ็ดอ่อนๆ
- ซอสบาร์บีคิว เบสซอสหมู กลิ่นหอมแกงกะหรี่เพิ่มขึ้นนิดหน่อย เผ็ดไม่มาก
- ซอสโตเกียว เบสซอสไก่สับ เป็นแกงกะหรี่ชนิดแห้ง เป็นซอสที่เผ็ดเป็นอับดับสองของร้าน
- ซอสฮายาชิสตูว์ เบสซอสหมู ซอสสตูว์เคี่ยวจากหัวหอม ไ่ม่มีส่วนผสมของกะหรี่และไม่เผ็ด
- ซอสแกรนมา เบสซอสเนื้อ รสชาติเข้มข้นและเผ็ดที่สุด
- ซอสสำหรับแกงกะหรี่ทอด เบสซอสกึ่งสตูกึ่งแกงกะหรี่ มีกลิ่นแกงกะหรี่อ่อนๆ แต่รสชาติติดหวานไปทางสตูว์และเผ็ดน้อย
การปรุงแยกกัน 6 แบบ ทำให้มีรสและกลิ่นความหอมที่แตกต่างกันออกไป แต่โดยรวมยังอิงสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ คือรสชาติเข้มข้นกลมกล่อมด้วยเครื่องเทศ ไม่ได้มีรสชาติโดดไปทางใดทางหนึ่ง ส่วนคำว่าเผ็ดสุดของที่นี่ก็ถือว่าอ่อนหัดสำหรับคนไทยที่กินรสจัดกว่าชนชาติญี่ปุ่น
การเสิร์ฟของที่นี่มาบนกะทะร้อนแบบแยกน้ำซอส เมื่อวางลงบนโต๊ะเรียบร้อย พนักงานก็จะเริ่มเทน้ำซอสลงไปบนกะทะที่ร้อนฉ่า และเมนูแรกที่ยกมาวางบนโต๊ะก็คือแกงกะหรี่ผัก ซึ่งผมไม่เคยคิดที่จะสั่งเมนูแกงกะหรี่ผักมาก่อน เพราะคิดว่ามันคงไม่อร่อยแต่ด้วยความอยากรู้ก็เลยสั่งมาลอง แล้วพบว่ามันน่าประทับใจยิ่งกว่าร้านอื่นที่เคยกินมา เนื่องด้วยตัววัตถุดิบหลักเป็นผักที่ยังมีความกรอบและหวานในแบบผักสด กับน้ำซอสที่หอมกลิ่นเครื่องแกงกะหรี่แบบเด่นชัด ก็ทำให้มันลงตัวแบบที่ผมคิดไม่ถึงว่าจะพบได้จากแกงกะหรี่ผัก
และความประหลาดใจก็หายไปเมื่อทางร้านได้บอกว่า Fully-loaded Vegetables Curry หรือแกงกะหรี่ผักจานนี้คือเมนูอันดับหนึ่งในญี่ปุ่น นอกจากนี้เรายังสามารถสั่ง Topping เพิ่มได้ทุกเมนูโดยมีตัวเลือกคือ ข้าวโพด, ชีส ( ผงซีสพาเมนซาน ), ไข่ออนเซ็น, น่องไก่ทอด, กุ้ง, แซลมอนรมควัน และเนื้อวัวสไลด์ผัดซอส
แกงกะหรี่ผักจานนี้ราคา 190 บาท ซึ่งบางคนอาจจะบอกว่าแพงจัง… แต่พอได้ลองแล้วรู้ว่ามันคือแกงกะหรี่ที่หาได้ยากจากร้านทั่วไปครับ
ถัดมาเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมที่สุดในไทยอย่าง BBQ Curry ที่มีชื่อไทยตรงไปตรงมาว่า “แกงกะหรี่บาร์บีคิว” ที่คัดสรรค์ชิ้นเนื้อหมูและนำไปตุ๋นกับเครื่องเทศที่เป็นสูตรเฉพาะด้วยเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง ทำให้ได้เนื้อหมูที่นุ่มกำลังดี ส่วนเนื้อก็นุ่ม ส่วนมันก็อร่อย กินแล้วให้ความรู้สึกคล้ายกับพวกแนวๆ Kakuni แต่ไม่เลี่ยนเนื่องจากมีสัดส่วนของเนื้อและมันอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ
ทีมงานผมให้ความเห็นว่ามันคือแกงกะหรี่หมูที่อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมา มีรสชาติแกงกะหรี่แท้ๆ ที่ไม่ถูกกลบไปด้วยการปรุงแต่ง …เพิ่มไข่ออนเซ็น ชีสและข้าวโพดก็ยิ่งเพิ่มความอร่อยเข้าไปอีก
และเมนูนี้นี่เองที่ผมได้ลองเป็นอย่างแรกที่เดินเข้าร้าน Camp Curry และมันทำให้ผมติดใจจนต้องมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งส่วนตัวแล้วผมเป็นคนชอบความเผ็ดในแบบที่เกิดมาไม่เคยเจอใครกินเผ็ดเท่าผม แม้แต่เวลาเดินเข้าร้าน CoCo ICHIBANYA ผมก็จะสั่งเผ็ดที่สุด… หรือบางทีก็เผ็ดกว่าที่มีให้เลือกในเมนู แต่พอมาเจอ Camp Curry ผมรู้สึกถึงความแตกต่างที่หาไม่ได้จาก CoCo ICHIBANYA ก็คือ “ความเป็นแกงกะหรี่” ซึ่งของ CoCo ICHIBANYA ให้รสจัดถูกใจผมก็จริง แต่ถ้าสั่งแบบเดิมๆ ไม่เพิ่มความเผ็ดแล้วถือว่ากลิ่นของเครื่องแกงกะหรี่ไม่อบอวลฟุ้งในปากเท่าของ Camp Curry
แต่เพราะมัวแต่ถ่ายรูปเลยทำให้ไข่ออนเซ็นที่นอนแช่กับกะทะร้อนๆ กลายเป็นไข่สุกไปซะก่อน T_T … ส่วนราคาจานนี้ก็อยู่ที่ 320 บาทครับ
หลังจากที่ผมติดใจเมนู BBQ Curry ไปแล้วก็เริ่มมองหาของที่รสเผ็ดกว่าเดิม ทางร้านเลยแนะนำเมนู Grandma’ Beef Curry ที่เรียกได้ว่าเป็นเมนูสำหรับคนไทยโดยเฉพาะ เนื่องจากเดิมทีไม่มีเมนูนี้แต่เมื่อเปิดสาขาที่ประเทศไทย ก็พบว่าคนไทยต้องการแกงกะหรี่ที่มีรสจัดกว่าของญี่ปุ่นจึงได้ทำเมนูนี้ออกมา ซึ่งเป็นเบสซอสที่ทำจากเนื้อวัวเลยมีรสชาติจัดกว่า
ถ้าชอบกินเนื้อเป็นทุนเดิมและมีนิยามความเผ็ดที่มากกว่าแค่พริก ผมอยากให้ลองเมนูนี้ ราคาก็ 315 บาทครับ …ความจริงยังมีเมนูแกงกะหรี่อื่นๆ อย่างเช่น Tokyo Curry ที่เค้าบอกว่าคิดค้นเพื่อสาขากรุงเทพโดยเฉพาะ หรืออย่าง Hayashi Brown Stew ที่ไม่มีส่วนผสมของแกงกะหรี่และไม่มีความเผ็ด เหมาะสำหรับเด็กหรือคนที่ไม่กินแกงกะหรี่ และยังมี Kids Set สำหรับเด็กด้วย แต่สำหรับวันนี้ขอรีวิวกัน 3 เมนูหลักก่อนละกันเดี๋ยวจะไม่เหลือพื้นที่ไว้สำหรับเมนูอื่น
ถัดมาเป็นส่วนของ Appertizer ที่เป็นไก่ทอดในแบบที่มีกลิ่นหอมเครื่องเทศติดปลายๆ ไม่ถึงกับเตะจมูกอะไรแบบนั้น ส่วนรสชาติก็เป็นแนวเค็มๆ เหมือนไก่ทอดทั่วไปครับ …ส่วนตัวแล้วผมคาดหวังว่าไก่จะมีกลิ่นและรสที่โดดเด่นกว่านี้หน่อย เพราะว่าการหลังจากอิ่มเอมจากแกงกะหรี่จานหลักที่จัดจ้านด้วยเครื่องเทศและความหอม ก็ยิ่งทำให้ไก่ทอดจากนี้ไม่โลดแล่นอย่างที่คิดไว้
Sukiyaki Beef จานนี้ก็จัดอยู่ในกลุ่มของ Appertizer แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันสามารถเป็นจานหลักได้ไม่ยาก ขอแค่มีข้าวร้อนๆ อีกถ้วย …นี่เป็นเมนูที่ทีมงานรวมถึงตัวผมถึงกับตาลุกวาวและขอยกให้เป็นเมนูม้ามืดของร้านนี้ แม้ว่าร้าน Camp Curry จะนำเสนอด้านความเป็นแกงกะหรี่แบบดั้งเดิมที่มีคุณภาพ แต่ Sukiyaki Beef ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับแกงกะหรี่กลับมีความหอมและอร่อยมากๆ ซึ่งความหอมหลักๆ เป็นกลิ่นของต้นหอมญี่ปุ่นและน้ำซอสที่มีกลิ่นคล้ายเนย รสชาติก็ติดไปทางหวานนิดๆ ไม่จัดเกินไปแบบที่กินเล่นก็ได้ กินกับข้าวก็อร่อย
เมนู Appertizer มีอีกอย่างก็คือ Fresh Potato Curry Chips หรือเรียกกันแบบบ้านๆ ว่ามันฝรั่งทอดซึ่งผมก็ขอข้ามไปก่อนด้วยเหตุผลข้างต้นคือ เก็บท้องไว้สำหรับเมนูอื่นครับ
Big Camp Fire Curry หรือเรียกสั้นๆ ว่า “นาเบะ” เป็นเมนูที่ทางร้านคะยั้นคะยอว่าอยากให้ผมลอง ซึ่งเค้าบอกว่านาเบะของเค้าไม่เหมือนของที่อื่นจริงๆ …อ่ะ เชียร์ขนาดนี้แปลว่ามันต้องมีดีก็เลยสั่งตามที่ทางร้านแนะนำ
ในชุดของนาเบะก็มีหมูและผัก ส่วน Topping ที่สั่งเพิ่มได้ก็มีเส้นอูด้ง, ข้าวโพด, เห็ด, เนื้อหมู, เนื้อไก่, เนื้อวัว, กุ้ง, แซลมอน หรือจะสั่งชุดผักเพิ่มก็ได้เช่นกัน แต่ที่พิเศษหน่อยก็ตรง Topping ที่เป็นข้าวและไข่ไก่ …ซึ่งทำเอาผมและเพื่อนเข้าใจผิดมาแล้ว
ตามเมนูบอกไว้ว่านาเบะชุดนี้เหมาะกับ 2 คน แต่ผมคิดว่ามากัน 2-4 คนแล้วสั่งเป็นเมนูกลางอารมณ์เหมือนมีซุปร้อนไว้ซด เป็นปริมาณที่กำลังดี …เมนูนี้จะถูกยกมาเสิร์ฟพร้อมกับเตาไฟฟ้า ปรุงกันสดๆ และปิดฝารอ 10 นาทีครับ
หลังจากครบ 10 นาทีเปิดฝาหม้อและได้เริ่มตักขึ้นมาชิม ก็สัมผัสได้ถึงความต่างจากร้านอื่นตรงที่น้ำซุปมีความเป็นแกงกะหรี่อยู่ด้วย ส่วนผักต่างๆ ก็มีความหวานกรอบเช่นเดียวกับที่ใช้ในแกงกะหรี่ผัก แม้ว่าจะมีความเป็นแกงกะหรี่ผสมอยู่ แต่ก็มีความเข้มข้นในระดับที่ซดได้เพลินๆ เลยล่ะ
ส่วนความพิเศษของ Toping ข้าวและไก่ที่ผมเกริ่นไว้ว่าทำเอาผมและเพื่อนทีมงานเข้าใจผิด ก็เพราะตอนแรกนึกว่าจะเสิร์ฟข้าวมาเป็นจานเพื่อกินคู่กับนาเบะ แต่ความจริงแล้วเค้าเอาไว้เทลงไปคลุกในหม้อครับ …ซึ่งการเทลงไปคลุกก็จะเป็นหน้าที่ของพนักงาน เนื่องจากต้องรอให้เราเคลียผักและชิ้นเนื้อออกให้หมด จากนั้นค่อยเทข้าวและไข่ลงไปในหม้อ ก็จะได้อารมณ์ข้าวข้นๆ รสแกงกระหรี่ประมาณนั้นเลย
แต่จะว่าไป… ปรกติผมก็ทำแบบนี้กินเองอยู่แล้วนะ เวลาไปร้านสุกี้เนี่ย พอน้ำเริ่มเหลือน้อยๆ ใกล้ปิดท้าย ผมก็จะเอาข้าวและไข่ใส่ลงไป …อึ้มมมม เข้มข้นสุดๆ
เรื่องตลกมีอยู่ว่านี่คือร้านแกงกะหรี่ แต่เมนูที่ผมและเพื่อนลงความเห็นว่าห้ามพลาดก็คือของหวานครับ …ของหวานที่นี่มีอยู่ 2 เมนูคือ Hokkaido Milk Pudding และ Daigaku Sweet Potato
เริ่มจาก Hokkaido Milk Pudding ที่ทางร้านย้ำว่าเป็นนมออกไกโดแท้ๆ ซึ่งมีความมันและหอมมากๆ โรยหน้าด้วยน้ำตาลและจับคู่กับวิปปิ้งครีมที่ให้ความเย็นสดชื่น มันเป็นอะไรที่เข้ากันมากๆ ครับ …เป็นเมนูที่ผมต้องสั่งทุกครั้ง มันหอมและอร่อยแบบไม่อยากจะหยุดกินเลย
ถัดมาก็เป็นมันเชื่อมในน้ำผึ่งซึ่งไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลแม้แต่น้อย มีความน่าสนใจตรงเนื้อที่มีความนุ่มละเอียดแต่ก็ยังมีความหนึบหนับอยู่ จับคู่กับวิปปิ้งครีมนี่ก็อร่อยสุดๆ ครับ
แม้ว่า Camp Curry จะเป็นคนละแนวกับ CoCo ICHIBANYA ที่เอามาเทียบกันไม่ได้ แต่ผมก็คิดว่าหลายคนคงอยากรู้ว่าทั้งคู่ต่างกันยังไง …ถ้าให้อธิบายแบบภาษาของผมก็คงเหมือนแกงกะหรี่ Premium ซึ่งมีราคาสูงกว่าแต่ก็ได้รับความเป็นแกงกะหรี่แท้ๆ ต่างจาก CoCo ICHIBANYA ที่เหมาะกับสายคุ้มค่าและชอบรสจัดๆ …ซึ่ง Camp Curry ก็รสจัดแต่เป็นความจัดของเครื่องแกงกะหรี่
แต่เพราะความเป็น original ดั้งเดิมที่เน้นความเป็นแกงกะหรี่แท้ๆ เลยอาจไม่ถูกปากคนไทยที่ติดรสจัดๆ และหลายคนไม่รู้ว่าแกงกะหรี่ดั้งเดิมคือการเคี่ยวจนเนื้อแทบจะละลายไปกับซอส จึงเรียกได้ว่าจุดขายทั้งคู่ต่างกันสิ้นเชิง… CoCo ICHIBANYA ออกแนวคุ้มค่าถูกปากคนไทย แต่ Camp Curry เน้นความดั้งเดิมที่สร้างชื่อเสียงไว้ในญี่ปุ่น
ส่วนตัวแล้วผมเป็นคนชอบข้าวแกงกะหรี่มากๆ เวลาผ่านไปสยามพารากอนก็จะแวะลงไปชั้นล่าง ถ้าไม่เข้า CoCo ICHIBANYA ก็แวะร้าน Bankara Ramen แต่ว่าพอผมได้รู้จักร้าน Camp Curry ผมก็เปลี่ยนเป้าหมายเดินขึ้นไปชั้น 4 แทน …อารมณ์คล้ายกับที่ผมได้รู้จักร้าน รสดีเด็ด by นพ และผมก็เลิกเข้าร้าน AKA อะไรทำนองนั้น