อาจเรียกได้ว่าผมเป็นผู้บุกเบิกร้านอาหารญี่ปุ่นไดกงให้เป็นที่รู้จักของโลกออนไลน์ก็ว่าได้ ถึงขั้นว่าช่วงต้นปี 2014 ถ้าค้นหาคำว่า “ไดกง“ ก็จะเห็นเว็บผมเป็นอันดับแรก และหลังจากนั้นผมก็ยกให้เป็นหนึ่งในร้านอาหารญี่ปุ่นในดวงใจจนถึงปัจจุบัน
ย้อนไปเมื่อปี 2014 สารภาพกันตามตรงว่าตอนนั้นผมไปทำธุระแถวแยกมิสทีน เลยคิดว่าลองเสี่ยงดวงกับร้านนี้ดู ซึ่งผมกับเพื่อนก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับร้านอาหารญี่ปุ่น no name แบบนี้ แต่การเสี่ยงดวงครั้งนั้นมันเหมือนกับการเปิดโลกใหม่ ที่ทำให้ผมได้พบกับร้านอาหารญี่ปุ่นที่ราคาไม่แพงแต่คุณภาพดีกว่าร้านดังในห้างบางแห่งซะอีก
สาขาร้านไดกง อาหารญี่ปุ่น
กลับมาอีกครั้งในปี 2016 ก็พบว่าร้านไดกงได้เติบโตแตกกิ่งก้านสาขาออกไปหลายร้าน แต่ร้านที่เป็นแบบฉบับดั้งเดิมของ “พี่ยู” มีเพียง 2 สาขาเท่านั้น ซึ่งตั้งอยู่ที่ซอยมิสทีนรามคำแหง และ เคหะร่มเกล้า ( อยู่ใกล้บิ๊กซี เคหะร่มเกล้า ) หรือติดต่อได้ที่เฟซบุ๊คนี้
อัพเดทปี 2017 เพิ่มสาขาลาดกระบังอีกที่ครับ
คุณภาพประทับใจ
สาเหตุที่ผมเจาะจงเลือกสาขาที่พี่ยูดูแล ก็เพราะร้านอาหารญี่ปุ่นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน โดยเฉพาะปลาที่เป็นของสด ถ้ามีกรรมวิธีการจัดเก็บหรือเลือกวัตถุดิบไม่ดี ก็จะส่งผลกับรสสัมผัสอย่างชัดเจน และจุดเด่นอีกอย่างที่หาตัวจับได้ยากก็คือพี่ยูเป็นเชฟที่เบิร์นอาหารได้เก่งมากๆ สามารถเรียกกลิ่นความหอมออกมาได้ดีแบบที่ไม่แพ้ร้านเกรด Premium เลย
เริ่มกันที่แซลมอน เมนูยอดนิยมที่ทั้งนักชิมมือใหม่และรุ่นใหญ่ก็ชื่นชอบ ขนาดชิ้นของแซลมอนค่อนข้างหนาเต็มปากเต็มคำ เนื้อแน่น ไม่เลี่ยน กินได้เรื่อยๆ ( ถ้าไม่ท้องแตกก่อน )
ทูน่าในครั้งนี้ทำได้ดีกว่าเมื่อครั้งปี 2014 ซะอีก ตัวเนื้อมีความหนึบหนับสู้ฟันอะไรทำนองนั้น …อ่อ ที่สำคัญคือวาซาบิที่นี่มีความเผ็ด อย่าเผลอใส่เยอะล่ะ ส่วนน้ำซอสโชยุก็ไม่ใช่ว่าซื้อจากห้างแล้วเอามาตั้งบนโต๊ะ แต่มีการนำมาปรุงต่อให้กลมกล่อมและไม่เค็มบาดคอเหมือนของเดิมๆ
หอยเชลของที่นี่จัดเป็นอีกเมนูที่ผมชอบ เพราะมันมีความเป็นหอยเชลที่หาได้ไม่ง่ายจากร้านในลักษณะนี้ …มีความหวาน ความนุ่มหนึบ มีกลิ่นเฉพาะตัวแบบที่กัดลงไปแล้วสัมผัสได้ว่านี่แหละคือหอยเชล! ยิ่งเวลาที่คีบลงไปสัมผัสกับโชยุนี่มันใช่มากๆ
ตอนนี้เราเริ่มขยับจากซาซิมิมาเป็นแนวซูชิแทนนะครับ ซึ่งที่จริงแล้วเมนูพวกนี้จะเสิร์ฟป็นคู่ แต่ผมก็ยุให้พี่เค้าลองทำเซ็ตนี้ออกมาขายเผื่อว่าใครอยากลองนั่นนิดนี่หน่อย
ขอเริ่มจากฟัวกราหรือตับห่านที่แม้ว่าชิ้นจะไม่หนานุ่มเท่ากับร้านเกรด Premium แต่ก็ยังคงมีความหอมและนุ่มแบบที่ไม่แข็งกระด้างและไม่เลี่ยน
ปรกติแล้วผมไม่สั่งทูน่าสไปซี่เพราะมันไม่สไปซี่แบบชื่อ ต่างจากของไดกงที่เผ็ดร้อนปนเปรี้ยวนิดๆ ทำเอาผมนึกถึงซอส Tabasco เลย …ถ้าเป็นคนที่ชอบรสจัดๆ น่าจะถูกใจเมนูนี้
แซลมอน อาบูริ ( salmon aburi ) หรือเรียกกันบ้านๆ ว่า burn เพราะใช้กระป๋องแก๊สพ่นไฟให้ด้านนอกสุก ในขณะที่ด้านในยังมีความนุ่มเหมือนปลาดิบอยู่ และอย่างที่ได้เกริ่นไปตั้งแต่ตอนต้นว่าการ burn จัดเป็นจุดเด่นของร้านนี้ ทำให้ได้กลิ่นความหอม ผสมกับความนุ่มของแซลมอน ตัดกับรสเปรี้ยวนิดๆ จากซอสพอนซึ
การจับคู่ระหว่างไข่แซลมอน ( ikura ) กับแซลมอนก็เป็นอีกเมนูที่หลายคนชอบ ด้วยความนุ่มแน่นในแบบฉบับของปลาแซลมอน ผสมกับความมันและเค็มนิดๆ ของไข่แซลมอน โดยเฉพาะเวลาไข่ค่อยๆ แตกในปลาทีละอันนี่มันเป็นช่วงเวลาที่เพลินมากๆ
ถ้าเมนูเมื่อกี้ดูธรรมดาเกินไปก็ขอแนะนำให้เป็นแบบพันด้วยสาหร่าย และเปลี่ยนเป็นเนงิ แซลมอน ซึ่งจะให้ความหอมมากกว่าเดิม …แนะนำว่าไม่ต้องใส่ซอสโชยุเยอะ เพราะไข่แซลมอนมีความเค็มอยู่แล้ว
ซูชิอื่นๆ มีทั้งแบบ simple ที่หาได้ตามร้านทั่วไป อย่างเช่น แซลมอน, ทูน่า, หนวดปลาหมึก และที่ advance ขึ้นมานิดนึงแบบที่หาได้ยากจากร้านแนวนี้เช่นปลาตาเดียว ( engawa ) หรือฮามาจิ
ถ้าถามหาเมนูที่เป็น signature ของร้านผมยกให้เมนูนี้ “ท้องแซลมอน ซูชิ อาบูริ” ซึ่งเหมือนกับแซลมอน ซูชิ อาบูริ แต่การเลือกใช้เนื้อส่วนท้องที่มีความมันมากกว่า บวกกับการ burn ที่พอดิบพอดี ทำให้ได้ความหอม นุ่ม กลมกล่อมมากๆ …ที่สำคัญคือเมนูนี้มีจำกัดด้วย เพราะต้องเลือกใช้เนื้อส่วนท้องเท่านั้น เมนูนี้แทบไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่ม เรามีหน้าที่แค่คีบเข้าปากเท่านั้นเพราะทุกอย่างได้ถูกปรุงมาเรียบร้อยแล้ว
…สารภาพกันตามตรงว่าผมเสพติดเมนูนี้มาก มีอยู่เดือนนึงที่เดินเข้าร้านทุก 3-4 วันเพื่อไปสั่งเมนูนี้ จนตอนนั้นเกิดความคิดชั่วร้ายว่าเราจะไม่รีวิวเมนูนี้ เพราะมันมีจำกัดและจะเก็บไว้กินเอง หึหึหึ …แต่สุดท้ายความอร่อยก็ทำให้คนบอกต่อกันไปเรื่อยๆ อยู่ดี
แซลมอน สเต็ก เป็นอีกเมนูที่ค่อนข้างเกินคาด เนื่องจากร้านทั่วไปมักปรุงออกมาได้แข็งกระด้าง แต่ของไดกงยังมีความนุ่มและเนื้อปลายังเป็นลิ่มๆ ในขณะที่ผิวด้านนอกมีความกรอบเล็กน้อย และแม้ว่าจะมีกลิ่นเนยแต่ก็ไม่เลี่ยนเพราะไม่ได้เอาชิ้นปลาไปปรุงกับเนยโดยตรง แต่เนยอยู่ในส่วนผสมของน้ำซอสที่ราด
ท้องปลาแซลมอนย่างมีหนังกรอบๆ กับเนื้อนุ่มๆ แบบที่ไม่แห้งกระด้างเพราะมีชั้นของมันแทรกอยู่ เมื่อบีบมะนาวลงไปก็ทำให้รสเปรี้ยวเข้าไปเพิ่มมิติของรสชาติได้เป็นอย่างดี ( เพื่อนบอกว่ากินแล้วคิดถึงแอลกอฮอล์ )
เทมปุระ เป็นอีกเมนูที่หาร้านที่ทำอร่อยได้ยาก บางทีก็กรอบกระด้าง บางทีก็ปวกเปียก แต่ไดกงทำออกมาได้ค่อนข้างดีด้วยตัวกุ้งที่เลือกใช้กุ้งสดและตัวแป้งที่กรอบกำลังดี
พักเบรคกันด้วยสลัดไดกงที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการยำรวมสรรพสิ่งก็ว่าได้ โดยมีวัถุดิบหลักคือไชเท้า ( ไดกง แปลว่าไชเท้า ) ซึ่งดูดซับน้ำสลัดที่เปรี้ยวๆ หวานๆ ที่โรยด้วยทูน่า และใจกลางภูเขาไชเท้ายังมีปลาดิบรวมหั่นซ่อนอยู่
ยำเนื้อไทยที่ปรุงมาแบบไม่สุกกับน้ำซอสรสเปรี้ยวที่ราดลงบนหอมหัวใหญ่หั่น จัดว่าลงตัวมากๆ และเป็นอีกเมนูที่ผมชอบด้วยความนุ่มของเนื้อ ความเปรี้ยวของซอสที่คลุกเคล้ากับหอมหัวใหญ่ มันทำให้ fresh มากๆ …แต่ถ้าชอบเนื้อที่สุกกว่านี้ก็สามารถแจ้งทางร้านได้ครับ
หรือถ้าไม่ชอบเนื้อ จะเปลี่ยนเป็นยำทูน่า อาบูริก็ได้เช่นกัน ซึ่งมีการปรุงเหมือนกันจะต่างก็แค่ส่วนของเนื้อเท่านั้น …ทั้งสองแบบก็มีเอกลักษณ์ที่ต่างกัน มีความนุ่มชุ่มฉ่ำคนละแบบ แล้วแต่คนชอบครับ
ข้าวหน้าปลาไหลของที่นี่เกินราคาค่าตัวมากๆ หนึบหนับเต็มปากเต็มคำ ตัวหนังก็มีความกรุบเล็กๆ น้ำซอสรสหวานที่ราดมาก็ไม่ชุ่มจนไปกลบความเป็นปลาไหล นับเป็นอีกจานที่ผมประทับใจครับ
ตบท้ายกันด้วยซารุโซบะที่ทำได้ตามมาตรฐานทั่วไป ด้วยการเสิร์ฟแบบมีน้ำแข็งช่วยรักษาความเย็นของเส้น ประกอบกับน้ำซุปที่ไม่จัดและไม่จืดจนเกินไปก็ทำให้กินได้เพลินครับ
บทสรุปรีวิว ไดกง อาหารญี่ปุ่น
ในภาพรวมแล้วไดกงของพี่ยูทำได้ค่อนข้างประทับใจ ( ถ้าไม่ประทับใจผมก็คงไม่เป็นลูกค้าตั้งแต่ปี 2014 ) และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่วนเรื่องราคาก็ขอร่ายยาวตามบิลเลยละกัน
- ซาซิมิ
- แซลมอน 190 บาท
- ทูน่า 250 บาท
- หอยเชล 250 บาท
- ซูชิ ( ราคาต่อ 2 ชิ้น )
- ไข่ปลา เนงิ แซลมอน 180 บาท
- ไข่ปลาแซลมอน โรล 250 บาท
- ทูน่า 100 บาท
- แซลมอน 70 บาท
- ฮามาจิ 160 บาท
- หนวดปลาหมึกยักษ์ 70 บาท
- เอ็นกาวะ 120 บาท
- เอ็นกาวะ อาบูริ 130 บาท
- ฟัวกรา 220 บาท
- แซลมอน อาบูริ 80 บาท
- ทูน่า สไปซี่ 90 บาท
- ท้องแซลมอน อาบูริ 199 บาท ( ราคาต่อเส้น แบ่งได้ประมาณ 6 ชิ้น )
- ไดกงสลัด 180 บาท
- ยำเนื้อไทย 170 บาท
- ยำทูน่า อาบูริ 220 บาท
- ซารุโซบะ 85 บาท
- ข้าวหน้าปลาไหล 199 บาท
- กุ้งเทมปุระ 150 บาท
- แซลมอน สเต็ก 120 บาท
- ท้องปลาแซลมอนย่าง 220 บาท
ถ้าให้ผมเทียบอย่างง่ายก็คือ ราคาถูกกว่าร้านดังในห้างอย่างฟูจิและโออิชิแต่คุณภาพดีกว่า บางเมนูก็ทำได้ดีใกล้เคียงกับร้านเกรด Premium เลยด้วยซ้ำ ซึ่งต้องบอกว่าหาได้ค่อนข้างยากกับร้านอาหารญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ชานเมืองแบบนี้ อย่างข้าวหน้าปลาไหลราคา 199 บาทกับคุณภาพแบบนี้ถือว่าคุ้มค่ามากๆ หรืออย่างฮามาจิที่ทำได้ดีกว่าร้านระดับ Kubone ที่ผมชอบแวะกินระหว่างกลับบ้าน หรือฟัวกราที่ผมประทับใจกว่า Aiko หรือ Tenjo หรืออาจบอกได้ว่าฟัวกราของที่นี่ทำได้ใกล้เคียงกับ Takumi เลย
หรือถ้าเทียบกับ Sushi OO ก็ยังถือว่าภาพรวมแล้วที่นี่ทำได้น่าสนใจกว่า ทั้งในแง่ของราคาและคุณภาพ อย่างแซลมอน ซูชิ ที่ราคาประมาณ 70 บาทเท่ากัน แต่ที่นี่ได้ 2 ชิ้นและก็ไม่ได้อัดข้าวมาแน่นจนเกินไปแบบ Sushi OO ด้วย แต่อย่าจินตนาการว่าจะหรูหราเท่าร้านระดับ Sushi Masa หรือ Honmono เพราะในภาพรวมแล้วยังไม่โดดเด่นขนาดนั้น แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าและเบียดร้านในห้างหลายๆ ร้านได้เลย
…ทั้งคุณภาพ ราคาและบริการที่ไม่แข็งทื่อ แต่แฝงไปด้วยรอยยิ้มและความอารมณ์ดี ทำให้ร้านไดกงยังคงครองใจผมมาจนถึงทุกวันนี้