เรื่องย่อ
เรื่องราว The Flash ที่มีเนื้อเรื่องต่อจาก Justice League: Snyder Cut เมื่อแบร์รี่ค้นพบว่าตัวเองสามารถย้อนเวลาได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะกลับไปเปลี่ยนอดีต เพื่อให้แม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ แต่การเปล่ยนอดีตส่งผลกระทบมากกว่าที่คิด เมื่อโลกเปลี่ยนไปกลายเป็นโลกที่ไม่มีเหล่าเมต้าฮิวแมน และไม่มีซูเปอร์แมนที่จะมาหยุดการรุกรานของนายพลซ็อด
The Flash สนุกไหม
นี่คือหนังเรื่องสุดท้ายในจักรวาล DCEU ของ Zack Snyder หนังถูกเลื่อนการฉายมาเป็นปีเนื่องจากพฤติกรรมของ Ezra Miller นักแสดงนำของเรื่อง (ซึ่งสุดท้ายออกมาขอโทษและเข้ารับการบำบัด หนังจึงได้คิวฉายใหม่) มันไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์ แต่มันไม่ได้แย่อย่างที่เป็นกระแส
สิ่งที่ต้องพูดถึงอย่างแรกคือมุกตลกของเรื่องที่จังหวะดีมาก ดีแบบที่พี่ควรลองไปทำหนังตลกแบบจริงๆ จังๆ บ้าง ทำได้ฮาจริง ฮาแบบหลายๆ จังหวะกะว่าจะไม่แล้ว แต่ก็ต้องหลุดขำมาจนได้ เรียกว่าเป็นหนังที่จะได้ยินเสียงหัวเราะลั่นโรงเป็นเรื่องปกติ
ด้านเนื้อเรื่องเน้นความง่ายแต่ได้ผล อารมณ์แบบ Wonder Woman ภาคแรก ไม่ต้องเล่นใหญ่อะไร โฟกัสที่ตัวเองก็พอ แต่สิ่งที่พลาดคือหนังควบคุมจังหวะไม่ดี บางช่วงก็เร่งจัด เปิดแกนวาร์ปรัวๆ บางช่วงก็อ้อยอิ่งอยู่นั่นแหละ โดยเฉพาะจังหวะไขปมหลักของเรื่องที่รีบไปเยอะ ด้าน Easter egg นี่คือแทบขนมาทั้งจักรวาล DC แบบว่าทิ้งทวนมากๆ ซึ่งบาง Easter Egg ก็แอบเล่นใหญ่ไปนิดจนขัดจังหวะอารมณ์เหมือนกัน ที่แน่ๆ คือเหล่า Easter Egg ในเรื่องทำมาเอาใจคอหนังยุค 90 มากๆ ด้านการแสดงที่ Ezra Miller แสดงเป็นแบร์รี่และแบร์รี่นี่ดีมาก เล่นดี เล่นให้เรารู้สึกว่าสองคนนี้คือคนละคนได้จริงๆ และด้วยการวางคาแรกเตอร์ ลักษณะหน้าตา การแต่งตัว ทำให้เราแยก 2 ตัวละครนี้จากกันได้ตลอดเวลา ไม่มีการสับสนสลับไปมาแต่อย่างใด ซึ่งจุดนี้ต้องชมเชยเลย และสิ่งที่ดีที่สุดของหนัง DC คือฉากแอ็กชั่นที่เยี่ยมยอดเหมือนเดิม
จุดที่หลายคนพูดถึงคืองาน CG ต้องยอมรับว่าบางฉากแอบมีลอยจริงๆ แต่ส่วนใหญ่ถือว่าทำได้ดี และหลายๆ ฉากเรียกว่าเป็น Art direction ของเรื่องที่ทำออกมามีความการ์ตูนมากกว่า
สรุปแล้วมันเป็นหนังที่เรา joy กับมันไปได้ทั้งเรื่อง แม้จะมีความแอบบ่นในใจเป็นระยะตอนดู
หนังมี End credit หนึ่งตัวนะครับ