เทรนความนิยมภาพแบบ 360 องศามีมากขึ้นตั้งแต่การมาของ Gear VR รวมถึง Facebook ที่รองรับภาพแบบ 360 องศาซึ่งอุปกรณ์ถ่ายภาพแบบนี้ก็มีหลายตัวแต่ Insta360 Nano มีจุดเด่นที่น่าสนใจอยู่หลายอย่าง โดยเฉพาะการใช้งานที่ง่ายกว่ารุ่นอื่น และอุปกรณ์เสริมที่จัดเต็มมากๆ
ความน่าสนใจแรกของกล้อง 360 องศาตัวนี้ก็คือราคาครับ… กล้องประเภทนี้ที่ชื่อชั้นดีหน่อยและเข้ามาทำตลาดอย่างเป็นทางการก็เริ่มต้นที่ราวๆ 12,000 บาท ในขณะที่ Insta360 Nano วางขายที่ราคา 9,900 บาทเท่านั้น และการใช้งานทำได้ง่ายกว่ารุ่นอื่นๆ ตรงที่ไม่ต้องเชื่อมต่อ bluetooth หรือ WiFi ให้วุ่นวายเพราะแค่เสียบเข้ากับ iPhone 6/6s หรือ iPhone 6 Plus/6s Plus และโหลดแอพก็พร้อมใช้งานแล้วครับ …อ้อ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ก็ได้รับการยืนยันแล้วว่าสามารถใช้งานได้ครับ
แต่ถ้าใช้ iPhone หรือ iPad รุ่นอื่นๆ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะอดใช้ เพราะมีอุปกรณ์เสริมในชื่อ lightning extender ราคา 450 บาท สำหรับแปลงให้ใช้กับรุ่นอื่นๆ ได้ครับ
Insta360 Nano มีความละเอียดสูงสุดที่ 3040*1520 หรือเรียกง่ายๆ ว่าความละเอียด 3K และรูรับแสง f/2.0 ชาร์จผ่าน microUSB และใช้ microSD สำหรับเก็บภาพกับคลิปที่บันทึก …การที่เชื่อมต่อด้วยการเสียบเข้ากับ iPhone โดยตรงอาจทำให้บางคนเข้าใจว่าต้องใช้กับ iPhone เท่านั้น ซึ่งก็ไม่ถูกซะทีเดียวเพราะว่าเราสามารถถือ Insta360 Nano ถ่ายเพียวๆ โดยไม่จำเป็นต้องต่อเข้ากับ iPhone จากนั้นค่อยเอาไฟล์ย้ายลงคอมแล้วอัพโหลดขึ้น Social Media ต่อ… ซึ่งบนคอมก็มีแอพ Insta360 Studio ไว้ให้ใช้งานด้วยครับ
ถ้าใครเคยเชื่อมต่อกล้องรุ่นอื่นๆ เข้ากับมือถือคงจะพบปัญหาเชื่อมต่อได้ยาก โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่มีสัญญาณรบกวนเยอะๆ หรือพูดง่ายๆ ก็คือตรงไหนที่คนใช้ bluetooth หรือ WiFi เยอะๆ ก็มักจะต่อไม่ติด ดังนั้นการเสียบเข้ากับมือถือโดยตรงผ่าน lightning จึงนับว่าเป็นจุดเด่นอีกอย่างที่เหนือกว่ารุ่นอื่นๆ
นอกจากการเชื่อมต่อโดยตรงผ่าน lightning จะช่วยแก้ปัญหาการเชื่อมต่อก็ยังช่วยเรื่องการถ่ายโอนข้อมูลที่รวดเร็วกว่าแบบอื่นด้วย โดยเฉพาะตัวแอพบน iOS ที่สามารถตั้งค่า Auto Sync ให้บันทึกภาพลงทั้งบนตัวกล้องและบน iPhone ก็ช่วยเพิ่มความสะดวกได้อีกเยอะ
ถ้าใช้งานผ่านตัวแอพก็ไม่มีอะไรซับซ้อนเพราะมีโหมดภาพนิ่งกับบันทึกคลิปให้เลือก แต่ถ้าใช้งานแบบถือเพียวๆ ไม่ต่อกับ iPhone สามารถสั่งถ่ายภาพนิ่งด้วยการกดที่ปุ่มบนตัวกล้อง 1 ครั้ง ส่วนการบันทึกคลิปก็กด 2 ครั้ง และยังกด 3 ครั้งเพื่อนับถอยหลังได้ด้วย
ข้อดีอีกอย่างก็คือในหน้า Preview ก่อนจะกดถ่ายรูป มีการแสดงผลทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังทำให้เราใช้งานได้ง่ายขึ้นครับ โดยที่จอใหญ่คือภาพจากกล้องหลัง และจอเล็กคือภาพจากกล้องหน้า
…ความน่ารักอีกอย่างก็คือเราสามารถใส่ Watermark หรือ “ลายน้ำ” ลงไปในรูป เพราะปรกติแล้วกล้อง 360 องศาแนวนี้จะมีข้อเสียเล็กๆ คือภาพบริเวณมือที่ถือกล้องดูไม่เนียนตา ดังนั้นการที่ใส่ Watermark ทับลงไปตรงมือก็ใช้ปกปิดจุดด้อยนี้ได้และยังเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอีกด้วย
หลังจากที่เราถ่ายรูปเรียบร้อยก็สามารถทำการแก้ไขรูปได้นิดหน่อย คือการใส่ Filter และปรับระดับความ Beauty ซึ่งทำได้ทั้งโหมดภาพนิ่งและคลิปครับ
ความเก่งอีกอย่างของรุ่นนี้คือการ Export เพื่อนำไปอัพโหลดตามที่ต่างๆ เช่น Facebook หรือ YouTube เพราะปรกติแล้วเราไม่สามารถอัพโหลดคลิปแบบ 360 องศาขึ้นไปยัง YouTube ได้โดยตรง แต่ต้องใช้แอพอื่นมาแปลงไฟล์ก่อนจะอัพโหลดเพื่อให้แสดงผลได้แบบ 360 องศา แต่สำหรับรุ่นนี้ไม่ต้องไปวุ่นวายอะไรแบบนั้นเลย เพราะตัวแอพจะจัดการให้ทุกสิ่งแบบพร้อมอัพโหลด
ในการกดแชร์ไปยัง Social Media ต่างๆ เช่น Facebook, Messenger จะเป็นการอัพโหลดไปยังเว็บของ Insta360 แต่ถ้าอยากให้ภาพขึ้นไปอยู่ในอัลบั้มของ Facebook ก็ต้องกดบันทึกแบบ Panorama ลงบน iPhone ก่อนแล้วค่อยอัพโหลดผ่านแอพ Facebook …สังเกตได้ว่าตรงมุมของภาพก่อนโพส มีตัวเลข 360 เขียนกำกับไว้อยู่
…และนี่คือรูปตัวอย่างระหว่างการอัพโหลดขึ้นบน Insta360 กับอัพโหลดขึ้น Facebook โดยตรงครับ
เท่าที่ได้ลองใช้งานพบว่าภาพที่อัพโหลดขึ้นบน Facebook มีการซูมภาพมากกว่าปรกติ เลยทำให้ภาพดูไม่คมเท่าบนหน้าเว็บ Insta360 …แต่ได้ข่าวว่าจะมีอัพเดทมาแก้ไขเรื่องนี้ครับ
… และก็อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่ารุ่นนี้มีดีตรงที่สามารถอัพโหลดขึ้น YouTube ได้โดยตรง แบบที่ไม่ต้องไปแก้ไขบนคอมเพิ่มเติมเนื่องจากตัวแอพได้ใส่ค่า metadata มาให้เรียบร้อย เลยทำให้การใช้งานจริงไม่ต้องไปวุ่นวายแก้ค่าอะไรทั้งสิ้น เพียงแค่กดอัพโหลดตามปรกติเท่านั้น
การดู YouTube แบบ 360 องศา สามารถดูผ่านแอพ YouTube บนมือถือได้แต่ถ้าเป็นบนคอมก็สามารถดูได้ผ่าน Chrome, Opera, FireFox, Internet Explorer เวอร์ชั่นล่าสุด หรือพูดให้ง่ายกว่านั้นก็คือดูได้ทุกเจ้ายกเว้น Safari นั่นเอง ( ปวดใจคนใช้ macOS อย่างผม )
แต่ความสนุกมันอยู่ตรงนี้ครับ …เราสามารถ Export คลิปออกมาเป็นแบบ Little Planet ได้ด้วย หรือที่ติดปากกันว่า Tiny Planet นั่นแหละ ภาพก็จะได้เป็นคนหัวโตๆ เดินบนโลกอย่างที่เห็น ถ้าเลือก location ดีๆ มันจะสวยมากๆ เลยครับ
โหมดการแสดงผลมีทั้งหมด 3 แบบคือ Fisheye, Perspective และ Little Planet ซึ่งเราสามารถหมุนไปมารวมถึงการซูมเข้า-ออกได้ และถ้ามุมไหนเกิดถูกชะตาก็สามารถกด Snapshot เพื่อเอารูปมุมนั้นมาใช้งานต่อได้ด้วย
ทีเด็ดอีกอย่างของรุ่นนี้ที่ผมยังไม่เคยเห็นจากกล้อง 360 ตัวอื่น ก็คือการถ่ายทอดสดซึ่งจะนำไปประยุกต์ทำ Facebook Live ก็ยังได้ เพียงแต่ตอนนี้ยังอยู่ในขั้น beta อาจไม่สะดวกสำหรับคนทั่วไปเพราะต้องตั้งค่าก่อนใช้งานนิดหน่อย
นอกจากนี้ตัวแอพยังรองรับ Remote Shutter อีกด้วย รวมถึงการตั้งเวลาถ่ายด้วยการกดปุ่มที่ตัวกล้อง 3 ครั้ง ทำให้เราสามารถเอาไปประยุกต์ใช้อย่างเช่น การถ่ายรูปห้องพักหรือคอนโดเพื่อเป็นตัวอย่างให้ลูกค้าดูโดยที่ไม่มีตัวเราอยู่ในรูป
ส่วนการพกพาก็ทำได้ไม่ยากนักเพราะมีซองผ้ามาให้ และที่เจ๋งกว่านั้นคือตัวกล่องสามารถเสียบ iPhone แล้วใช้งานเป็นแว่น VR ได้ด้วย หรือแม้แต่สาย microUSB ที่ให้มายังเป็นสายที่ดูดีกว่าสายทั่วไป…นับว่าใส่ใจรายละเอียดสุดๆ
ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะกล้อง 360 องศาตัวนี้มีจุดเด่นอีกอย่างคือเรื่องของอุปกรณ์เสริมที่หลากหลาย แต่เท่าที่ได้สอบถามทาง Insta360 Thailand ได้ความมาว่าเบื้องต้นจะนำเข้ามาเพียง 3 อย่างก่อนคือ Mount with 1/4 screw slot, Mouting Sleeve และ Waterproof Case
บทสรุป
Insta360 Nano จัดว่าเป็นกล้อง 360 ที่น่าใช้ด้วยหลายสิ่งประกอบกัน ทั้งเรื่องของการเสียบเข้ากับ iPhone ได้โดยตรงทำให้ไม่วุ่นวายในการตั้งค่าและปัญหาน้อย รวมถึงส่งไฟล์ได้เร็วกว่า เรื่องของการอัพโหลดก็แปลงไฟล์ให้เรียบร้อยไม่ต้องไปทำเพิ่มบนคอม มีโหลดลูกเล่นที่ค่อนข้างหลากหลาย และยังสามารถถ่ายทอดสดได้ด้วย ซึ่งผมยังไม่เคยเห็นฟีเจอร์นี้บนกล้อง 360 รุ่นอื่นๆ
… ก่อนที่จะได้ลองใช้ ผมก็มองว่ามันไม่น่าสนใจเพราะการเสียบกับ lightning โดยตรงทำให้จำกัดรุ่นมือถือมากเกินไป แถมยังต้องถอดเคสอีกต่างหาก แต่พอได้ลองใช้และมาหาข้อมูลจริงจังถึงได้รู้ว่ามันน่าสนใจกว่าที่คิด และสามารถใช้ตัว lightning extender เพื่อใช้งานร่วมกับเคสหรือใช้กับ iPhone และ iPad รุ่นอื่นๆ ได้ด้วย หรือแม้แต่การถือเพียวๆ แล้วค่อยเอารูปลงคอมก็ได้เช่นกัน
และกล้องแนวนี้มันไม่ใช่แค่ gimmick หรือเป็นแค่ของเล่นเอาสนุกเพียงอย่างเดียว เพราะมันสามารถประยุกต์เพิ่มมูลค่าของงานได้ อย่างเช่นที่ผมได้ยกตัวอย่างกรณีของ การขายหอพักหรือคอนโด โดยนำภาพแบบ 360 องศาเข้ามาช่วยในการนำเสนอให้เข้าใจได้ง่ายมากขึ้น หรือใช้ในการโปรโมทสถานที่ต่างๆ
ข้อดีอีกอย่างที่ผมชอบก็คือทีมงานเค้าดูแลดีมากครับ ผมสอบถามอะไรไปก็แนะนำมาหลายอย่าง รวมถึงการที่ผม feedback ปัญหาหรือแนะนำติชม เค้าก็รับฟังและรายงานความคืบหน้า อย่างเช่นกรณีที่ผมแนะนำว่าแอพมันกลับหัวเลยใช้ไม่สะดวก ก็จะมีการปล่อยอัพเดทมาแก้ไข หรือแม้แต่เรื่องที่อัพโหลดขึ้น Facebook แล้วซูมภาพมากเกินไปก็เช่นกัน
สรุปได้ว่า Insta360 Nano เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจโดยเฉพาะคนที่ใช้งาน iPhone และ iPad เป็นทุนเดิมแต่ถ้าชีวิตวนเวียนอยู่กับ Android เป็นหลักก็อดใจรออีกนิดเพราะพึ่งจะมีข่าวเปิดตัว Insta360 Air สำหรับมือถือ Android ไปไม่กี่วันนี่เอง และตามข่าวก็บอกว่ารองรับ USB-C ด้วยคาดว่าราคาก็น่าจะใกล้เคียงกัน