ยุคนี้น้อยคนคงจะนึกถึงเครื่องมือสำหรับบันทึกเสียง เพราะส่วนใหญ่ก็เน้นสะดวกเข้าว่าเลยใช้มือถืออัดเสียงแทน แต่ถ้าต้องการคุณภาพอย่างจริงจังก็ควรหาเครื่องมือเฉพาะทางมาใช้อย่างเช่น Philips DVT6000 ซึ่งมันก็คล้ายกับการที่มือถือถ่ายรูปได้ แต่ถ้าคิดจะถ่ายรูปอย่างจริงจังก็ควรซื้อกล้องแท้ๆ มาใช้งานอะไรทำนองนั้น
สินค้าในกลุ่มของ Voice Tracer มีอยู่หลายรุ่นแต่ Philips DVT6000 ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานกับการสัมภาษณ์และใช้ในห้องเรียนหรือการประชุมสัมมนาเป็นหลัก
จุดเด่นของรุ่นนี้มีหลายอย่างที่มากกว่าแค่การบันทึกเสียง ซึ่งเป็นสิ่งที่สะดวกกว่าการใช้มือถือเช่น ไมค์ 3 ตัวที่สามารถวิเคราะห์ระยะทางของต้นกำเนิดเสียงเพื่อซูมเสมือนว่าเราอยู่ใกล้มากขึ้น หรือระบบตรวจจับว่าวางบนโต๊ะนิ่งๆ หรือถืออยู่เพื่อปรับเสียงให้ดีขึ้น
นอกจากตัว Philips DVT6000 ก็มีหูฟังและสายชาร์จแบบ microUSB มาให้ในกล่อง …สิ่งที่ผมชอบก็คือตัววัสดุ งานประกอบและการจัดวางปุ่มต่างๆ ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย
แม้แต่ด้านหลังยังมีการออกแบบขาตั้งไว้เผื่อใช้วางบนโต๊ะให้ได้องศาที่ดีขึ้น หรือในกรณีที่ถือใช้งานก็ช่วยทำให้เกาะติดมือมากขึ้นด้วย …และนอกจากจะต่อหูฟังเพื่อฟังเสียงที่บันทึก ก็ยังสามารถต่อไมค์เพิ่มได้ด้วย และยังตั้งค่าได้อีกว่าเป็นไมค์ stereo, mono หรือ line-in
ปุ่มที่มีจัดวางไว้บนตัวเครื่องก็ครอบคลุมและใช้ง่ายทั้งเรื่องของการเข้าเมนู การเรียกดูไฟล์ การ play/pause การเริ่มต้นบันทึกและการลบไฟล์… ในการตั้งค่ามีอะไรที่ดีกว่าการใช้มือถือเยอะมากครับ อย่างเช่นตัวปรับระดับ Mic sensitivity หรือความไวในการรับเสียง เพื่อให้เหมาะกับระยะห่างจากต้นทางโดยมีโหมดต่างๆ ให้เลือกตามเหมาะสม แต่ถ้าไม่อยากจะคิดเยอะก็มีระบบ Auto Zoom ที่จะช่วยเลือกระดับความไวให้เราเอง โดยจะเริ่มวิเคราะห์เสียงก่อนจะเริ่มบันทึกครับ
พอรับเสียงได้ไวดูดเสียงเข้ามาได้เก่ง ก็ทำให้เกิดประเด็นเรื่องเสียงรบกวน ซึ่งแน่นอนว่า Philips DVT6000 ก็มีระบบตัดเสียงรบกวนและเสียงลมอย่าง Wind filter และ Noise reduction ให้เลือกใช้ได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังเลือกคุณภาพของไฟล์ได้ตั้งแต่ MP 3 8kbps ไปจนถึง WAV 1411kbps เลยทีเดียว …พูดง่ายๆ ว่าจะเน้นประหยัดพื้นที่หรือจะเน้นคุณภาพเสียงก็ได้ทั้งนั้น
ประเด็นต่อมาก็คือการแก้ไขไฟล์ซึ่ง Edit mode ก็เลือกได้ทั้งแบบ Append ที่จะบันทึกเสียงต่อจากไฟล์เดิมหรือจะเลือกแบบ Overwrite เขียนทับไฟล์เดิมก็ได้
ระบบ Pre-recording เป็นอีกสิ่งที่น่าสนใจเพราะจะทำการบันทึกเสียงก่อนที่เราจะเริ่มกดบันทึก 5 วินาที และมีระบบ Voice Activation ที่จะเริ่มบันทึกเมื่อมีเสียง และจะ pause เมื่อไม่มีเสียง …และถ้ามีเสียงอีกก็จะเริ่มบันทึกให้อีก
หน้าจอก็สามารถปรับระยะเวลารวมถึงระดับความสว่างได้ และเนื่องด้วยรุ่นนี้สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวได้ ทำให้มันเร่งแสงหน้าจอให้สว่างทันทีที่เราหยิบขึ้นมาจากโต๊ะ …นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของคุณสมบัติที่น่าสนใจ เพราะความจริงแล้วยังมีส่วนอื่นอีกเช่นระบบ ClearVoice หรือการตั้งปิดอัตโนมัติ
ในการใช้งานต่อเนื่องก็แน่นอนว่าบางครั้งเราไม่สะดวกที่จะนั่งลบไฟล์บ่อยๆ ทำให้ Philips DVT6000 รองรับการใส่ microSD เพิ่มได้อีก และแบตเตอรี่ใช้งานได้ต่อเนื่องสูงสุด 50 ชั่วโมงในกรณีที่ไม่ใส่ microSD แต่ถ้าใส่ microSD ก็จะลดลงครึ่งนึงครับ
ส่วนการสูบไฟล์ออกจากตัว Philips DVT6000 ก็ทำได้ไม่ต่างจาก flash drive ด้วยการเสียงเข้าคอมแล้วย้ายไฟล์ได้ตามปรกติเลย
รุ่นนี้วางขายที่ราคาประมาณ 2,900 บาท ซึ่งเหมาะกับคนที่ต้องการบันทึกเสียงอย่างจริงจัง เพราะแม้ว่ามือถือจะอัดเสียงได้แต่ก็ให้คุณภาพที่ไม่เท่าอุปกรณ์เฉพาะทาง รวมถึงอาจมี interrupt จากแอพต่างๆ เข้ามาขัดการบันทึกเสียง และด้วยทรวดทรงที่กระชับถือได้ง่ายกว่า เลยทำให้เหมาะกับการเอาไปใช้แทนไมค์ในการสัมภาษณ์ที่เหมาะกว่ามือถือนั่นเอง