นอกจาก Gear VR ที่บุกตลาดไทยอย่างจริงจังและจัดเป็นแว่น VR ระดับพรีเมี่ยม ที่เหลือก็เป็นเพียงกลุ่มของ VR ที่เกิดมาเพื่อดูหนังเท่านั้นแต่ Noribell VR ต่างออกไปเพราะเป็นการเติมเต็มช่องว่างระหว่าง Gear VR ที่พรีเมี่ยมแต่ต้องใช้กับเรือธง Samsung เท่านั้น กับพวกกลุ่มแว่น VR ทั่วไปที่ราคาถูกแต่ทำได้แค่ดูหนังอย่างเดียว

ก่อนอื่นคงต้องอธิบายเรื่องราวสั้นๆ เกี่ยวกับ VR เพราะว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่า VR ทุกรุ่นเหมือนกันและทำได้แค่การดูหนัง… ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดครับ

VR หรือ Virtual Reality ก็คือการจำลองสถานการณ์เสมือนว่าเราไปยืนอยู่ในสถานที่หรือเหตุการณ์นั้นจริงๆ สามารถหันซ้าย-ขวา บน-ล่างได้ไม่ต่างจากการใช้ชีวิตปรกติ และอุปกรณ์ VR สำหรับมือถือที่พบเห็นได้ในบ้านเราก็มีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

1. กลุ่มของ VR ทั่วไปที่ใช้ระบบของ Google Cardboard
2. กลุ่มของ Gear VR ที่ใช้ระบบของ Oculus

หรือถ้าแบ่งให้เข้าใจง่ายขึ้นไปอีกก็คือนอกจาก Gear VR แล้วรุ่นอื่นๆ เป็นระบบของ Google Cardboard ทั้งหมดเลยครับ ซึ่งความต่างก็คือระบบของ Oculus มีแอพและเกมรวมถึงการใช้งานร่วมกับจอยที่ดีกว่า แต่ปัญหาหลักก็คือ Gear VR ออกแบบมาให้ใช้ร่วมกับเรือธง Samsung เท่านั้น

ส่วน VR ทั่วไปที่ใช้ระบบของ Google Cardboard แม้จะมีแอพและเกมที่ไม่ตื่นตาตื่นใจเท่า Gear VR แต่มีข้อดีคือรองรับมือถือแทบทุกรุ่นแม้แต่ iPhone ก็สามารถใช้ได้ แต่ VR กลุ่มนี้ก็มีความต่างด้านของคุณภาพและบริการหลังการขาย ซึ่ง Noribell VR อาศัยช่องว่างตรงนี้เข้ามาเติมเต็มด้วย VR ที่มีคุณภาพกว่ารุ่นทั่วไปและรองรับมือถือมากกว่า Gear VR

Noribell VR วางตำแหน่งสินค้าเป็น VR ระดับพรีเมี่ยมที่ราคาออกมาชนกับ Gear VR แบบที่ผมเห็นแว๊บแรกก็คิดในใจว่า “ช่างกล้า” แต่หลังจากที่ได้พูดคุยกับทีมงาน Noribell ก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมถึงตั้งราคาแบบนี้ ก็เพราะ VR รุ่นอื่นๆ ขายกันแบบไม่มีบริการหลังการขายและไม่มีการทำตลาดแต่ Noribell มีแผนที่จะบุกตลาดไทยอย่างจริงจังโดยเริ่มจาก Noribell VR เวอร์ชั่นแรกตามในรีวิวนี้

ความต่างอีกอย่างก็คือ Noribell VR เลือกใช้วัสดุที่ดีกว่า VR ทั่วไป และรองรับมือถือขนาด 4.5-6 นิ้วที่ใช้ได้ทั้ง Android และ iOS และยังสามารถปรับระยะเลนส์ เพื่อให้เหมาะกับสายตาแต่ละคนได้ และที่เด็ดกว่านั้นก็คือมีหูฟังให้ในตัวด้วย

บางคนอาจแย้งว่าแว่น VR หลักร้อยบางรุ่นก็มีฟองน้ำ รวมถึงปรับระยะเลนส์และซื้อรีโมทเพิ่มก็ได้… มันก็จริงครับ แต่ก็มีรายละเอียดปลีกย่อยที่สร้างความแตกต่างให้กับ VR แต่ละรุ่นซึ่ง Noribell VR เค้าชูจุดเด่นเรื่องเลนส์แบบ Blue light cut ที่ทำให้เราสบายตามากขึ้นและมีเลนส์ที่ใหญ่กว่า ส่งผลให้ภาพรวมแล้วจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าครับ

ในการใช้งานก็เหมือน VR ทั่วไปคือต้องใช้ร่วมกับแอพหรือเกมที่รองรับ ซึ่งหาได้ไม่ยากเท่าไรเพราะว่ามันเป็นระบบเดียวกับ Cardbord ของ Google เลยทำให้มีแอพใน Play Store อยู่เยอะพอควร หรือแม้แต่ฝั่ง iOS ก็สามารถค้นหาได้ด้วยคำว่า “VR” ก็จะเจอแอพและเกมอยู่ไม่น้อย

ถ้าอยากดูหนังก็ให้โหลดแอพจำพวก VR Cinema หรือ VR Video Player สำหรับแปลงไฟล์หนังปรกติให้ใช้ร่วมกับแว่น VR ได้ หรือถ้าอยากเล่นเกมก็ลองค้นหาด้วยคำว่า Cardboard VR Game อะไรทำนองนี้ดูครับ

แต่ก่อนที่จะเริ่มใช้งานจริงผมแนะนำว่าให้ทำการเชื่อมต่อกับรีโมทก่อน โดยการเริ่มหยิบรีโมทขึ้นมาแล้วปรับโหมดว่าจะใช้กับ Android หรือ iOS แล้วก็จัดการเชื่อมต่อผ่านบลูทูธให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็หยิบตัวมือถือเสียบเข้ากับ Noribell VR ทีนี้ก็จะเห็นความต่างกับพวก VR ทั่วไปตรงที่เราสามารถใช้รีโมทควบคุมได้ อย่างเช่นการกดปุ่ม Play เพื่อเล่นไฟล์หนัง หรือกดเพื่อยิงปืนในเกม ฯลฯ

และตัวรีโมทนี้ก็ทำหน้าที่ได้หลายโหมด ทั้งการควบคุมเครื่องเล่นเพลง ใช้งานเป็นจอยเกมแนวนอนเหมือนจอยทั่วไป หรือใช้เป็นจอยแนวตั้งให้ได้อารมณ์คล้ายกับการถืออาวุธ ฯลฯ ซึ่งวิธีสลับแต่ละโหมดอยู่ในคู่มือที่ให้มาในกล่องครับ

และก็ต้องย้ำอีกว่าไม่ใช่ทุกแอพทุกเกมจะรองรับรีโมท ขึ้นอยู่กับว่าผู้พัฒนาได้เขียนระบบออกมาแบบไหน แต่ก็ต้องบอกว่ามันสะดวกกว่า VR ทั่วไปที่ไม่มีรีโมทครับ

ผมเคยใช้ VR Box ที่ไม่มีรีโมทและมันก็ลำบากไม่ใช่น้อย เพราะเวลาที่จะกด Play เล่นไฟล์หนัง หรือจะคลิกเมนู ต้องถอดตัวมือถือออกมาแล้วก็เอานิ้วจิ้มลงไปยังหน้าจอบนเมนูที่ต้องการแล้วค่อยเสียบกลับไปใหม่ ในขณะที่ Noribell VR สามารถหันหน้าไปเล็งเมนูแล้วใช้รีโมทกดเลือกได้เลย

แม้ว่ารองรับมือถือแทบทุกรุ่น แต่เพื่อให้ใช้งานได้อย่างเต็มที่ก็ควรใช้ร่วมกับมือถือที่มี Gyro Sensor เพื่อให้ตรวจจับทิศทางการหมุนตัวหรือหันหน้าได้ ซึ่งมือถือสมัยนี้ก็มักจะมีมาให้อยู่แล้วครับ

ในการใช้งานจริง ผมได้ทดสอบใช้กับ Huawei P9 Plus กับ iPhone 6s ก็สามารถใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหาแม้ใส่เคส และการที่มีหูฟังในตัวก็ช่วยเพิ่มความสะดวกมากขึ้น ต่างจาก VR ทั่วไปหรือแม้แต่ Gear VR ที่ต้องหาหูฟังมาต่อเพิ่ม และคุณภาพหูฟังก็อยู่ในเกณฑ์ที่เพียงพอกับการใช้งาน เรียกได้ว่าเอามาดูคลิป 360 องศาหรือเล่นเกมก็ไม่ขัดใจอะไร ส่วนรีโมทที่ทำหน้าที่เป็นจอยเกมด้วย ก็ต้องสลับหากันนิดหน่อยว่าเกมไหนเหมาะกับโหมดอะไร

ผมลองใช้งานต่อเนื่องราว 15 นาทีต่อครั้ง และรู้สึกว่าภาพคมชัดใสและสบายตากว่า VR Box ที่เคยใช้ และตัวฟองน้ำก็ไม่เหนียวเนอะเลอะเหงื่อเท่ากับรุ่นทั่วไป ส่วนเรื่องความเวียนหัวอันนี้ก็แล้วแต่บุคคลล่ะครับ เพราะบางคนก็บอกว่าเล่น VR แล้วมึนไม่ว่าจะเป็น VR ตัวไหนก็ตาม

และคงต้องบอกว่า VR มันเป็นเทรนของยุคนี้ที่ยังอยู่ระหว่างพัฒนา เลยทำให้แอพและเกมไม่เยอะเท่าไร แต่ก็มีโปรเจ็คต่างๆ ที่น่าสนใจออกมาอยู่เป็นระยะอย่างเช่น Dolphin VR ซึ่งจะทำให้ VR ใช้งานร่วมกับ Gamecube, Wii Emulator หรืออย่าง PPSSPP VR ที่เป็น Emulator สำหรับเล่นเกม PSP ซึ่งมีทั้งเวอร์ชั่นสำหรับ Oculus และ Cardboard และมีรายชื่อเกมที่รองรับให้ดูกันง่ายๆ เลยด้วย ดังนั้นการมีแว่น VR ติดบ้านไว้ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยครับ

โดยรวมแล้ว Noribell VR จัดว่าราคาสูงกว่า VR ทั่วไปที่ใช้ระบบของ Cardboard แต่พยายามสร้างความต่างด้วยการยกระดับสินค้าให้ดีกว่ารุ่นทั่วไป ที่ดูแล้วสบายตาและเป็นแบบแกะกล่องพร้อมใช้ คือมีหูฟังและรีโมทมาให้ในกล่อง และยังมีจุดเด่นกว่าคู่แข่งตรงบริการหลังการขาย ที่รุ่นอื่นๆ มักขายแล้วขายเลยไม่ต้องมาเจอกันอีก แต่สำหรับค่ายนี้ก็มีการรับประกันและมีเพจ Noribell Thailand ที่หาข้อมูลมานำเสนอเป็นระยะครับ